ย้อนหลังกลับไปในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง บริษัททั้งเล็กและใหญ่ประสบปัญหาทางการเงินและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก ทางแก้ปัญหาของบริษัท คือ การลดค่าใช้จ่าย การขายทรัพย์สิน การเรียกเก็บหนึ้การค้า การขอขยายหนี้กับสถาบันการเงิน ทั้งหมดนี้ทำเพื่อเหตุผลเดียวเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัท ในช่วงเวลานั้น ผมได้ทำงานปรับโครงสร้างหนี้ และต่อเนื่องมาจนถึงการขายหุ้นเพิ่มทุน ในระหว่างการขายหุ้นเพิ่มทุน ผมเกิดอาการตาสว่างในเรื่องการลงทุนในหุ้น เพราะกองทุนทั้งหมดที่บริษัทไป roadshow สนใจพื้นฐานของกิจการมากกว่าราคาที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุน หมายความว่า หากกิจการพื้นฐานไม่ดี เขาก็เลิกสนใจเลยแม้จะเสนอราคาถูกเท่าไหร่ก็ตาม แต่หากพื้นฐานกิจการดี เขาก็ยินดีซื้อที่ราคายุติธรรม อาการตาสว่างนั้น ทำให้มองเห็นว่าเบื้องหลังของราคาหุ้นนั้นถูกกำหนดมาจากพื้นฐานกิจการ ราคาหุ้นไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆแบบไร้เหตุผล ดังนั้นราคาหุ้นจึงเป็นศาสตร์ที่เรียนรู้ได้ มีหลักเกณฑ์ที่มีเหตุผลและพยากรณ์ได้ ผมทุ่มเวลาศึกษาเรื่องเหล่านี้หลายปี ทั้งลองผิดลองถูกในการลงทุนในตลาดหุ้น ลงทุนในหุ้นหลากหลายตัว หลากหลายธุรกิจ ซึ่งในเรื่อ
กลยุทธ์การขายหุ้นนั้นต้องเริ่มต้นตั้งแต่การวางแผนการซื้อหุ้น โดยการกำหนด Win : Loss Ratio สมมติว่าเรากำหนด W/L ที่ 2 เท่า ทำให้รู้ว่าจุดขายทำกำไรที่ 20% ส่งผลให้เกิดจุดขาย cut loss ที่ 10% ถ้าเราซื้อหุ้นที่ 10 บาท ทำให้จุดขายทำกำไรที่ 12 บาท และจุดขาย cut loss ที่ 9 บาท ต่อมาหุ้นราคาวิ่งไปที่ 12 บาท เราเลือกได้ 2 ทางเลือก คือ 1) ขายหุ้นทั้งหมดเพื่อทำกำไร 20% หรือ 2) เราจะเลือกทยอยขายเป็น 2 lot โดย lot แรกขาย 50% ทำให้ได้กำไร 20% และ lot ที่ 2 อีก 50% ถือไว้ก่อน เพื่อรอลุ้นต่อ (เพราะชีวิตชอบเสี่ยง มี character เป็น Risk Lover) แต่ควรขยับจุด cut loss อยู่ที่ราคาซื้อ คือ 10 บาท สมมติว่า หุ้นปรับตัวลงมา ทำให้เราต้องขายหุ้นที่ 10 บาท และเราก็ขายหุ้นที่ราคานี้ จะพบว่า เรากำไร lot แรก 20% ส่วน lot ที่ 2 คือ 0% แต่เราก็ยังมีกำไรโดยรวมทั้งหมด คือ 10% กลยุทธ์นี้ทำให้เรา lock กำไรขั้นตำ่ไว้ที่ 10%