ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

P/E สูง ควรลงทุน ? ตอนที่ 4

ลูกศิษย์ : ผมเป็นคนชอบความเสี่ยง อยากรวยๆเร็ว เพราะชีวิตคนมันแสนสั้นเหลือเกิน แนะนำวิธีการเล่นหุ้นฟื้นตัว (Turn Around) เพิ่มเติมให้ได้ไหมครับ

อาจารย์ : ชีวิตนี้มันจะแสนสั้น หรือ ยาว นั้นมันขึ้นอยู่กับคุณต่างหาก หากคุณมีความสุข…ชีวิตมันจะแสนสั้น หากชีวิตมีความทุกข์ มันจะแสนยาว

ลูกศิษย์ : อาจารย์ครับ ช่างมันเถอะครับจะสั้นหรือยาว แต่บอกวิธีเล่นหุ้นผมเร็วหน่อยได้ไหมครับ

อาจารย์ :  หากคุณจะเล่นหุ้นฟื้นตัวให้ประสบความสำเร็จ คุณต้องเข้าใจรอบวัฎจักรของธุรกิจนั้นก่อน ซึ่งดูได้จากข้อมูลย้อนหลังไปหลายๆปี โดย ดูสังเกตได้จากรายได้ต่ำสุด และกำไรต่ำสุด จนถึงรายได้สูงสุดและกำไรสูงสุด ซึ่งทำให้รู้รอบ 1 รอบของธุรกิจแล้ว เช่น :-

 บริษัท A มี รายได้ต่ำสุด คือ 2,000 ล้านบาท และกำไร 20 ล้านบาท และงบการเงิน 5 ปี ต่อมา มีรายได้สูงสุด 10,000 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิสูงสุด ถึง 3,000 ล้านบาท หลังจากนั้นก็รายได้ลดลง และกำไรลดลง ดังนั้นคุณจะทราบว่ารอบธุรกิจ คือ ประมาณ 5 ปี

เมื่อคุณทราบรอบธุรกิจแล้ว คุณต้องพยายามซื้อหุ้นตอนธุรกิจมีรายได้ต่ำสุด และมีกำไรต่ำสุด โดยหลักเกณฑ์ในการซื้อให้ใช้ PEG ประกอบ โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้


                             PEG          =                   P/E               
                                                                Growth   
 


Growth คือ = การเติบโตของกำไรสุทธิในอนาคต 1 ปี

หลักเกณฑ์ในการตัดสินใจ คือ หากคำนวณได้ PEG ต่ำกว่า 0.7 เท่าก็ให้ลงทุนได้เลย

ตัวอย่าง บริษัท A กำไร 20 ล้านบาท แต่มีจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วเท่ากับ 200 ล้านหุ้น ดังนั้น กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เท่ากับ 0.1 บาท (20/200) แต่ราคาหุ้น (P) เท่ากับ 10 บาท ดังนั้น P/E เท่ากับ 100 เท่า (10/0.1)

ดังนั้นถ้าคุณจะซื้อต้องคาดการณ์ว่าภายใน 1 ปีข้างหน้านี้ จะต้องมีกำไรสุทธิเติบโตอย่างน้อย 143%

ลูกศิษย์ : อาจารย์ทราบได้อย่างไรครับว่าต้องเติบโตอย่างน้อย 143% จึงสมควรจะซื้อ

อาจารย์ : หลับไปหรือเปล่า หรือ ใจลอยมัวแต่คิดถึง line หรือ FB

ลูกศิษย์ : ผมแค่เคลิ้มไปนิดเดียวเอง ผมต้องขอโทษอาจารย์ด้วยครับ

อาจารย์ : ก็จากสมการ PEG คือ เมื่อ P/E เท่ากับ 100 และ PEG เท่ากับ 0.7 ดังนั้น :-

Growth = (P/E) / PEG = 100 / 0.7 = 143% หรือ มีกำไรสุทธิใน 1 ปีข้างหน้าเท่ากับ 48.6 ล้านบาท (20 x 2.43)

ดังนั้นหากคุณจะซื้อหุ้นตัว A นี้ คุณต้องมั่นใจว่าเขาจะเติบโตจากกำไร 20 ล้านบาท เป็น 48.6 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า หากคุณมั่นใจซื้อแบบหมดตัวเลย เพราะงานนี้คุณรวยแน่ๆ

ลูกศิษย์ : ขอบคุณอาจารย์มากๆครับ สำหรับแนวคิดในการทำให้ผมเป็นคนรวย

อาจารย์พยักหน้ารับคำขอบคุณ แต่แววตาของอาจารย์เสมือนเตือนว่าเหรียญนั้นมีสองด้านถ้าไม่ออกหัวก็ออกก้อย…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระบวนการลงทุนแนว VI

ควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดี

ถาม : ดิฉันกำลังคิดจะทำธุรกิจ อยากทราบว่าควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดีค่ะ ตอบ : คุณต้องประมาณเงินลงทุนทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ (1) ประมาณการเงินลงทุนสินทรัพย์ถาวร (2) ประมาณการเงินหมุนเวียนสุทธิ (Net Working Capital)  หลังจากนั้นคุณก็นำรายการที่ (1) บวกกับรายการที่ (2) แล้ว ผลรวมที่ได้คือ เงินลงทุนทั้งหมด ในกรณีที่คุณไม่ต้องการกู้เงิน เงินลงทุนทั้งหมดจะเป็นทุนที่ชำระแล้ว ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้ว่า ผู้ถือหุ้นต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 25% ของทุนจดทะเบียน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณจดทะเบียน 1.0 ล้านบาท คุณต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 250,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 75% ถือว่าเป็นภาระผูกพันของผู้ถือหุ้นที่มีต่อบริษัท ดังนั้นในกรณีที่บริษัทดำเนินธุรกิจจนเจ๊ง เจ้าหนี้สามารถใช้สิทธิบังคับให้ผู้ถือหุ้นชำระค่าหุ้นคงเหลืออีก 75% ซึ่งหมายความว่า หุ้นที่ชำระไม่ครบ 75% มีสถานะเป็นหนี้ของผู้ถือหุ้นนั่นเอง ตัวอย่าง การประมาณงินลงทุน เช่น บริษัท ABCD จำกัด มีสมมติฐานว่าปีหน้าจะมียอดขายประมาณ 10 ล้านบาท ต้นทุนขายประมาณ 7.5 ล้านบาท และงบประมาณการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร...

ช่วงเวลาในการซื้อขายหุ้น (Investment Timing)

ราคาหุ้นในตลาดหุ้น (Market Price) ถูกกำหนดมาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้ ปัจจัยภายนอก (External Factor) คือ ปัจจัยที่ไม่ได้มาจากกิจการโดยตรงซึ่งเป็นปัจจัยที่กิจการไม่สามารถควบคุมได้ เช่น กระแสเงินเงินทุนไหลออกและไหลเข้า (Fund Flow) วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางของสหรัฐฯและยุโรป การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับลดค่าเงินหยวน สงครามระหว่างประเทศและการก่อการร้ายในกลุ่มประเทศยุโรป จนถึง ตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรุนแรง การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล การปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาน้ำมัน การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคาร การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น ปัจจัยภายใน (Internal Factor) คือ ปัจจัยที่มาจากกิจการโดยตรง เช่น การขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ การขายหุ้นเพิ่มทุน การควบรวมกิจการ การซื้อและขายกิจการ การเพิ่มอัตราการก่อหนี้ในกิจการ การปิดบริษัทย่อย...

ต้นทุนเงินทุน (WACC)

ต้นทุนเงินทุน (Cost of Capital) หรือ ที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไป คือ WACC (Weighted Average Cost of Capital) หมายถึง ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของเงินทุน  มีประโยชน์เพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่ควรลงทุนในโครงการใดบ้างของบริษัท เช่น คุ้มค่าหรือไม่ที่จะลงทุนในโครงการใหม่ของบริษัท เป็นต้น อีกทั้ง WACC นี้ยังสามารถใช้ในการคำนวณหามูลค่าของกิจการ (Enterprise Value) และมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Intrinsic Value of Stock) ได้อีกด้วย WACC ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ประเภท คือ :- ประเภทที่ 1 ต้นทุนจากการเงินกู้ยืม หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (kd)   ประเภทที่ 2 ต้นทุนจากเงินทุนของผู้ถือหุ้น  หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (ke) เพื่อความง่ายในการทำความเข้าใจ WACC ขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้ บริษัท A มีเงินทุนประกอบด้วย เงินกู้จากเจ้าหนี้ที่มีดอกเบี้ย 100 ล้านบาท และเงินทุนจากผู้ถือหุ้น 100 ล้านบาท ดังนั้นเงินทุนทั้งหมดของกิจการ A คือ เงินกู้จากเจ้าหนี้ฯ + เงินทุนจากผู้ถือหุ้น = 100 + 100 ล้านบาท เท่ากับ 200 ล...

ควรตั้งเป้ายอดขายขั้นต่ำเท่าไหร่

ถาม : ตอนนี้ผมทำธุรกิจส่วนตัว และต้องการตั้งเป้าหมายการขายให้กับฝ่ายขาย อาจารย์พอจะมีวิธีที่ใช้ประมาณการขายหรือเปล่าครับ ตอบ : การตั้งเป้าหมายในการขายให้กับฝ่ายขาย เราสามารถคำนวณหาได้จากจุดคุ้มทุนขาย (Break-Even point of Sales) คือ ยอดขายที่ทำไม่มีผลกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิ หรือ ยอดขายที่พอดีกับค่าใช้จ่ายของกิจการ หรืออีกนัยหนึ่ง คือยอดขายขั้นต่ำที่ต้องให้กับฝ่ายขาย โดยมีสูตรดังนี้                                              จุดคุ้มทุนขาย  =   ค่าใช้จ่ายคงที่                                                  ...