ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แกะรอยมูลค่าหุ้นที่แท้จริง

มูลค่าหุ้นที่แท้จริง (Intrinsic Value per Share : IVPS) ประกอบด้วยมูลค่าหลัก 3 ส่วนด้วยกันดังต่อไปนี้ [การคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้อธิบายแล้วในบทความก่อนหน้านี้]

มูลค่าส่วนที่ 1 คือ มูลค่าหุ้นตามบัญชี (Book Value per Share : BVPS) คำนวณได้ตามงบดุล หรือ ปัจจุบันเรียกกันว่า งบแสดงฐานะการเงิน ซึ่งมีสมการดังนี้

                                 มูลค่าหุ้นตามบัญชี = ส่วนของผู้ถือหุ้น
                                                                   จำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว

 มูลค่าส่วนที่ 2 คือ มูลค่าหุ้นตามแฟรนไชด์ (Franchise Value per Share : FVPS) คำนวณได้จากส่วนต่างของมูลค่าหุ้นที่แท้จริงที่ไม่มีการเติบโตของกำไรกับมูลค่าหุ้นตามบัญชี มีสมการดังนี้

                  มูลค่าหุ้นตามแฟรนไชด์ = มูลค่าหุ้นที่แท้จริง  - มูลค่าหุ้นตามบัญชี

 มูลค่าส่วนที่ 3 คือ มูลค่าหุ้นตามการเติบโต (Growth Value per Share : GVPS) คำนวณได้จากส่วนต่างของมูลค่าหุ้นที่แท้จริงที่มีการเติบโตของกำไรกับมูลค่าหุ้นตามบัญชีและมูลค่าตามแฟรนไชด์ ซึ่งมีสมการดังนี้

                มูลค่าหุ้นตามการเติบโต = มูลค่าหุ้นที่แท้จริง  - BVPS - FVPS


จากสมการข้างต้นทำให้ท่านทราบได้ว่า มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นประกอบด้วย BVPS + FVPS + GVPS เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้

สมมติว่า บริษัท ก มีมูลค่าหุ้นตามบัญชี = 10 บาทต่อหุ้น และเมื่อคำนวณมููลค่าหุุ้นที่แท้จริงด้วยวิธี Discounted Cash Flow (DCF) พบว่ามีมูลค่าหุ้นเท่ากับ 20 บาท โดยการคำนวณนี้มีสมมติฐานว่าบริษัท ก กำไรสุทธิไม่เติบโตในอนาคต หรือ อีกความหมายหนึ่งคือกำไรสุทธิคงที่ตลอดไป

ดังนั้นในกรณีนี้ มูลค่าหุ้นตามแฟรนไชด์ = 20 - 10 = 10 บาทต่อหุ้น

และสมมติว่ากิจการมีการเติบโตของกำไรสุทธิ 5% ตลอดไป พบว่ามูลค่าหุ้นที่แท้จริงจากการคำนวณโดยใช้ DCF เท่ากับ 30 บาท ดังนั้นในกรณีนี้ มูลค่าหุ้นตามการเติบโต = 30 - 10 - 10 = 10 บาทต่อหุ้น

กล่าวโดยสรุปได้ว่า มูลค่าหุ้นที่แท้จริง ประกอบด้วย มูลค่าตามบัญชี = 10 บาท และ มูลค่าหุ้นตามแฟรนไชด์ = 10 บาท รวมทั้ง มูลค่าหุ้นตามการเติบโต = 10 บาท ดังนั้นมูลค่าหุ้นที่แท้จริงเท่ากับ 30 บาท

หากใช้หลักการนี้อธิบายราคาหุ้น (Market Price) ในตลาดหลักทรัพย์จะพบว่า หุ้นบางตัวขายกันที่ราคาเท่ากับมูลค่าตามบัญชี หรือ P/BV เท่ากับ 1.0 แสดงว่านักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าหุ้นตัวนี้ไม่มีแฟรนไชด์ และมูลค่าการเติบโต ในทำนองเดียวกันหุ้นบางตัวขายกันที่ราคาสูงกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี หรือ P/BV เท่ากับ 5.0 แสดงว่านักลงทุนส่วนใหญ่มองหุ้นตัวนี้มีมูลค่าแฟรนด์ไชด์ และมูลค่าการเติบโตสูงกว่า BVPS เท่ากับ 400%  

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระบวนการลงทุนแนว VI

ควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดี

ถาม : ดิฉันกำลังคิดจะทำธุรกิจ อยากทราบว่าควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดีค่ะ ตอบ : คุณต้องประมาณเงินลงทุนทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ (1) ประมาณการเงินลงทุนสินทรัพย์ถาวร (2) ประมาณการเงินหมุนเวียนสุทธิ (Net Working Capital)  หลังจากนั้นคุณก็นำรายการที่ (1) บวกกับรายการที่ (2) แล้ว ผลรวมที่ได้คือ เงินลงทุนทั้งหมด ในกรณีที่คุณไม่ต้องการกู้เงิน เงินลงทุนทั้งหมดจะเป็นทุนที่ชำระแล้ว ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้ว่า ผู้ถือหุ้นต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 25% ของทุนจดทะเบียน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณจดทะเบียน 1.0 ล้านบาท คุณต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 250,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 75% ถือว่าเป็นภาระผูกพันของผู้ถือหุ้นที่มีต่อบริษัท ดังนั้นในกรณีที่บริษัทดำเนินธุรกิจจนเจ๊ง เจ้าหนี้สามารถใช้สิทธิบังคับให้ผู้ถือหุ้นชำระค่าหุ้นคงเหลืออีก 75% ซึ่งหมายความว่า หุ้นที่ชำระไม่ครบ 75% มีสถานะเป็นหนี้ของผู้ถือหุ้นนั่นเอง ตัวอย่าง การประมาณงินลงทุน เช่น บริษัท ABCD จำกัด มีสมมติฐานว่าปีหน้าจะมียอดขายประมาณ 10 ล้านบาท ต้นทุนขายประมาณ 7.5 ล้านบาท และงบประมาณการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร...

ช่วงเวลาในการซื้อขายหุ้น (Investment Timing)

ราคาหุ้นในตลาดหุ้น (Market Price) ถูกกำหนดมาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้ ปัจจัยภายนอก (External Factor) คือ ปัจจัยที่ไม่ได้มาจากกิจการโดยตรงซึ่งเป็นปัจจัยที่กิจการไม่สามารถควบคุมได้ เช่น กระแสเงินเงินทุนไหลออกและไหลเข้า (Fund Flow) วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางของสหรัฐฯและยุโรป การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับลดค่าเงินหยวน สงครามระหว่างประเทศและการก่อการร้ายในกลุ่มประเทศยุโรป จนถึง ตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรุนแรง การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล การปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาน้ำมัน การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคาร การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น ปัจจัยภายใน (Internal Factor) คือ ปัจจัยที่มาจากกิจการโดยตรง เช่น การขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ การขายหุ้นเพิ่มทุน การควบรวมกิจการ การซื้อและขายกิจการ การเพิ่มอัตราการก่อหนี้ในกิจการ การปิดบริษัทย่อย...

ต้นทุนเงินทุน (WACC)

ต้นทุนเงินทุน (Cost of Capital) หรือ ที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไป คือ WACC (Weighted Average Cost of Capital) หมายถึง ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของเงินทุน  มีประโยชน์เพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่ควรลงทุนในโครงการใดบ้างของบริษัท เช่น คุ้มค่าหรือไม่ที่จะลงทุนในโครงการใหม่ของบริษัท เป็นต้น อีกทั้ง WACC นี้ยังสามารถใช้ในการคำนวณหามูลค่าของกิจการ (Enterprise Value) และมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Intrinsic Value of Stock) ได้อีกด้วย WACC ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ประเภท คือ :- ประเภทที่ 1 ต้นทุนจากการเงินกู้ยืม หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (kd)   ประเภทที่ 2 ต้นทุนจากเงินทุนของผู้ถือหุ้น  หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (ke) เพื่อความง่ายในการทำความเข้าใจ WACC ขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้ บริษัท A มีเงินทุนประกอบด้วย เงินกู้จากเจ้าหนี้ที่มีดอกเบี้ย 100 ล้านบาท และเงินทุนจากผู้ถือหุ้น 100 ล้านบาท ดังนั้นเงินทุนทั้งหมดของกิจการ A คือ เงินกู้จากเจ้าหนี้ฯ + เงินทุนจากผู้ถือหุ้น = 100 + 100 ล้านบาท เท่ากับ 200 ล...

ควรตั้งเป้ายอดขายขั้นต่ำเท่าไหร่

ถาม : ตอนนี้ผมทำธุรกิจส่วนตัว และต้องการตั้งเป้าหมายการขายให้กับฝ่ายขาย อาจารย์พอจะมีวิธีที่ใช้ประมาณการขายหรือเปล่าครับ ตอบ : การตั้งเป้าหมายในการขายให้กับฝ่ายขาย เราสามารถคำนวณหาได้จากจุดคุ้มทุนขาย (Break-Even point of Sales) คือ ยอดขายที่ทำไม่มีผลกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิ หรือ ยอดขายที่พอดีกับค่าใช้จ่ายของกิจการ หรืออีกนัยหนึ่ง คือยอดขายขั้นต่ำที่ต้องให้กับฝ่ายขาย โดยมีสูตรดังนี้                                              จุดคุ้มทุนขาย  =   ค่าใช้จ่ายคงที่                                                  ...