ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูง ตอนที่ 3

ลูกศิษย์ : อาจารย์นอนพอหรือยังครับ เพราะจะได้อธิบายผมต่อเสียที


อาจารย์ : บางครั้งชีวิตคนเราก็ไม่ได้เป็นดั่งใจเราเสมอไป อยากรู้อาจจะไม่รู้ ไม่อยากรู้อาจเข้าใจเองก็ได้
ลูกศิษย์คิดในใจ สงสัยอาจารย์จะเพี้ยน ถามเรื่องหนี่งตอบเรื่องหนึ่ง


อาจารย์ : ที่ขอให้ผม ยกตัวอย่างประกอบคำบรรยายที่ว่า สถานการณ์ “กลัวสุดขีด” มาคิดจะทำให้เราพบว่า ราคาหุ้นจะต่ำมาก เพราะมีแต่ละคนเทขายหุ้น ส่งผลให้ ROI เพิ่มสูงขึ้น หรือ High Return ในขณะเดียวกัน Low Risk เพราะเมื่อราคาต่ำมาก โอกาสที่หุ้นจะลดลงไปอีกจะน้อยลง เนื่องจาก DY จะเพิ่มขึ้น ทำให้มีนักลงทุนเริ่มกลับเข้ามาลงทุนเพราะ DY ยั่วยวนเหลือเกิน”


ตัวอย่าง สมมติว่าเราจะซื้อหุ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 กรณี เปรียบเทียบกัน ดังนี้

1) กรณีปรกติ คือ ไม่มีข่าวดีหรือข่าวร้ายมากระทบกับหุ้นที่เราจะซื้อ

2) กรณีกลัวบ้าง คือ  มีข่าวร้ายมากระทบกับหุ้นที่เราจะซื้อจึงทำให้ราคาลดลง 10% จากราคาปรกติ

3) กรณีกลัวมาก คือ มีข่าวร้ายมากระทบหุ้นที่เราจะซื้อจึงทำให้ราคาลดลง 30% จากราคาปรกติ

4) กรณีกลัวสุดขีด คือ มีข่าวร้ายมากระทบหุ้นที่เราจะซื้อจึงทำให้ราคาลดลง 50% จากราคาปรกติ

ทุกกรณีหุ้นจะดีดกลับมาให้ขายที่ราคาเท่ากับ 21 บาท คือ กลับมาสู่ภาวะปรกติ ภายใน 1 ปี
ผมขอแสดงเป็นตารางดังนี้





สมการที่ใช้คำนวณ DY , CG , และ ROI คือ


ROI =  เงินปันผล x 100% / ราคาหุ้นที่ซื้อ + (ราคาหุ้นที่ขาย – ราคาหุ้นที่ซื้อ) x 100% / ราคาหุ้นที่ซื้อ


ROI  =  อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล + อัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้น


ROI  =     Dividend Yield (DY) + Capital Gain (CG)

จะเห็นได้จากตารางว่า หากเราซื้อหุ้นตอนปรกติ จะมี ROI เท่ากับ 10% ต่อปี แต่หาก เราซื้อหุ้นที่ตอนกลัวสุดขีด จะเห็นว่า ROI จะเพิ่มขึ้นเท่ากับ 120% ต่อปี ในขณะเดียวกันจะเห็นว่า DY เท่ากับ 10% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดีมาก จึงทำให้นักลงทุนแห่กันมาซื้อทำให้หุ้นหยุดตก


กรณีนี้ทำให้เราพบสถานการณ์ คือ ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูง (Low Risk High Return)

ลูกศิษย์ : แจ่มแจ้งเลยครับ

อาจารย์ : พระอาทิตย์ขึ้นตอน 4.30 อีกแล้ว

ลูกศิษย์เหลือบมองเวลาจากนาฬิกาที่แขวนไว้เหนือหัวนักดนตรีที่บรรเลงเพลงอย่างไม่รู้จ้กเหน็ดเหนื่อยเหมือนกันแทบทุกคืนที่ผ่านมา…


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระบวนการลงทุนแนว VI

ควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดี

ถาม : ดิฉันกำลังคิดจะทำธุรกิจ อยากทราบว่าควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดีค่ะ ตอบ : คุณต้องประมาณเงินลงทุนทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ (1) ประมาณการเงินลงทุนสินทรัพย์ถาวร (2) ประมาณการเงินหมุนเวียนสุทธิ (Net Working Capital)  หลังจากนั้นคุณก็นำรายการที่ (1) บวกกับรายการที่ (2) แล้ว ผลรวมที่ได้คือ เงินลงทุนทั้งหมด ในกรณีที่คุณไม่ต้องการกู้เงิน เงินลงทุนทั้งหมดจะเป็นทุนที่ชำระแล้ว ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้ว่า ผู้ถือหุ้นต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 25% ของทุนจดทะเบียน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณจดทะเบียน 1.0 ล้านบาท คุณต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 250,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 75% ถือว่าเป็นภาระผูกพันของผู้ถือหุ้นที่มีต่อบริษัท ดังนั้นในกรณีที่บริษัทดำเนินธุรกิจจนเจ๊ง เจ้าหนี้สามารถใช้สิทธิบังคับให้ผู้ถือหุ้นชำระค่าหุ้นคงเหลืออีก 75% ซึ่งหมายความว่า หุ้นที่ชำระไม่ครบ 75% มีสถานะเป็นหนี้ของผู้ถือหุ้นนั่นเอง ตัวอย่าง การประมาณงินลงทุน เช่น บริษัท ABCD จำกัด มีสมมติฐานว่าปีหน้าจะมียอดขายประมาณ 10 ล้านบาท ต้นทุนขายประมาณ 7.5 ล้านบาท และงบประมาณการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร...

ช่วงเวลาในการซื้อขายหุ้น (Investment Timing)

ราคาหุ้นในตลาดหุ้น (Market Price) ถูกกำหนดมาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้ ปัจจัยภายนอก (External Factor) คือ ปัจจัยที่ไม่ได้มาจากกิจการโดยตรงซึ่งเป็นปัจจัยที่กิจการไม่สามารถควบคุมได้ เช่น กระแสเงินเงินทุนไหลออกและไหลเข้า (Fund Flow) วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางของสหรัฐฯและยุโรป การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับลดค่าเงินหยวน สงครามระหว่างประเทศและการก่อการร้ายในกลุ่มประเทศยุโรป จนถึง ตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรุนแรง การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล การปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาน้ำมัน การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคาร การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น ปัจจัยภายใน (Internal Factor) คือ ปัจจัยที่มาจากกิจการโดยตรง เช่น การขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ การขายหุ้นเพิ่มทุน การควบรวมกิจการ การซื้อและขายกิจการ การเพิ่มอัตราการก่อหนี้ในกิจการ การปิดบริษัทย่อย...

ต้นทุนเงินทุน (WACC)

ต้นทุนเงินทุน (Cost of Capital) หรือ ที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไป คือ WACC (Weighted Average Cost of Capital) หมายถึง ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของเงินทุน  มีประโยชน์เพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่ควรลงทุนในโครงการใดบ้างของบริษัท เช่น คุ้มค่าหรือไม่ที่จะลงทุนในโครงการใหม่ของบริษัท เป็นต้น อีกทั้ง WACC นี้ยังสามารถใช้ในการคำนวณหามูลค่าของกิจการ (Enterprise Value) และมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Intrinsic Value of Stock) ได้อีกด้วย WACC ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ประเภท คือ :- ประเภทที่ 1 ต้นทุนจากการเงินกู้ยืม หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (kd)   ประเภทที่ 2 ต้นทุนจากเงินทุนของผู้ถือหุ้น  หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (ke) เพื่อความง่ายในการทำความเข้าใจ WACC ขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้ บริษัท A มีเงินทุนประกอบด้วย เงินกู้จากเจ้าหนี้ที่มีดอกเบี้ย 100 ล้านบาท และเงินทุนจากผู้ถือหุ้น 100 ล้านบาท ดังนั้นเงินทุนทั้งหมดของกิจการ A คือ เงินกู้จากเจ้าหนี้ฯ + เงินทุนจากผู้ถือหุ้น = 100 + 100 ล้านบาท เท่ากับ 200 ล...

ควรตั้งเป้ายอดขายขั้นต่ำเท่าไหร่

ถาม : ตอนนี้ผมทำธุรกิจส่วนตัว และต้องการตั้งเป้าหมายการขายให้กับฝ่ายขาย อาจารย์พอจะมีวิธีที่ใช้ประมาณการขายหรือเปล่าครับ ตอบ : การตั้งเป้าหมายในการขายให้กับฝ่ายขาย เราสามารถคำนวณหาได้จากจุดคุ้มทุนขาย (Break-Even point of Sales) คือ ยอดขายที่ทำไม่มีผลกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิ หรือ ยอดขายที่พอดีกับค่าใช้จ่ายของกิจการ หรืออีกนัยหนึ่ง คือยอดขายขั้นต่ำที่ต้องให้กับฝ่ายขาย โดยมีสูตรดังนี้                                              จุดคุ้มทุนขาย  =   ค่าใช้จ่ายคงที่                                                  ...