ลูกศิษย์ : อาจารย์นอนพอหรือยังครับ เพราะจะได้อธิบายผมต่อเสียที
อาจารย์ : บางครั้งชีวิตคนเราก็ไม่ได้เป็นดั่งใจเราเสมอไป อยากรู้อาจจะไม่รู้ ไม่อยากรู้อาจเข้าใจเองก็ได้
ลูกศิษย์คิดในใจ สงสัยอาจารย์จะเพี้ยน ถามเรื่องหนี่งตอบเรื่องหนึ่ง
อาจารย์ : ที่ขอให้ผม ยกตัวอย่างประกอบคำบรรยายที่ว่า สถานการณ์ “กลัวสุดขีด” มาคิดจะทำให้เราพบว่า ราคาหุ้นจะต่ำมาก เพราะมีแต่ละคนเทขายหุ้น ส่งผลให้ ROI เพิ่มสูงขึ้น หรือ High Return ในขณะเดียวกัน Low Risk เพราะเมื่อราคาต่ำมาก โอกาสที่หุ้นจะลดลงไปอีกจะน้อยลง เนื่องจาก DY จะเพิ่มขึ้น ทำให้มีนักลงทุนเริ่มกลับเข้ามาลงทุนเพราะ DY ยั่วยวนเหลือเกิน”
ตัวอย่าง สมมติว่าเราจะซื้อหุ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 กรณี เปรียบเทียบกัน ดังนี้
1) กรณีปรกติ คือ ไม่มีข่าวดีหรือข่าวร้ายมากระทบกับหุ้นที่เราจะซื้อ
2) กรณีกลัวบ้าง คือ มีข่าวร้ายมากระทบกับหุ้นที่เราจะซื้อจึงทำให้ราคาลดลง 10% จากราคาปรกติ
3) กรณีกลัวมาก คือ มีข่าวร้ายมากระทบหุ้นที่เราจะซื้อจึงทำให้ราคาลดลง 30% จากราคาปรกติ
4) กรณีกลัวสุดขีด คือ มีข่าวร้ายมากระทบหุ้นที่เราจะซื้อจึงทำให้ราคาลดลง 50% จากราคาปรกติ
ทุกกรณีหุ้นจะดีดกลับมาให้ขายที่ราคาเท่ากับ 21 บาท คือ กลับมาสู่ภาวะปรกติ ภายใน 1 ปี
ผมขอแสดงเป็นตารางดังนี้
สมการที่ใช้คำนวณ DY , CG , และ ROI คือ
ROI = เงินปันผล x 100% / ราคาหุ้นที่ซื้อ + (ราคาหุ้นที่ขาย – ราคาหุ้นที่ซื้อ) x 100% / ราคาหุ้นที่ซื้อ
ROI = อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล + อัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้น
ROI = Dividend Yield (DY) + Capital Gain (CG)
จะเห็นได้จากตารางว่า หากเราซื้อหุ้นตอนปรกติ จะมี ROI เท่ากับ 10% ต่อปี แต่หาก เราซื้อหุ้นที่ตอนกลัวสุดขีด จะเห็นว่า ROI จะเพิ่มขึ้นเท่ากับ 120% ต่อปี ในขณะเดียวกันจะเห็นว่า DY เท่ากับ 10% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดีมาก จึงทำให้นักลงทุนแห่กันมาซื้อทำให้หุ้นหยุดตก
กรณีนี้ทำให้เราพบสถานการณ์ คือ ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูง (Low Risk High Return)
ลูกศิษย์ : แจ่มแจ้งเลยครับ
อาจารย์ : พระอาทิตย์ขึ้นตอน 4.30 อีกแล้ว
ลูกศิษย์เหลือบมองเวลาจากนาฬิกาที่แขวนไว้เหนือหัวนักดนตรีที่บรรเลงเพลงอย่างไม่รู้จ้กเหน็ดเหนื่อยเหมือนกันแทบทุกคืนที่ผ่านมา…
อาจารย์ : บางครั้งชีวิตคนเราก็ไม่ได้เป็นดั่งใจเราเสมอไป อยากรู้อาจจะไม่รู้ ไม่อยากรู้อาจเข้าใจเองก็ได้
ลูกศิษย์คิดในใจ สงสัยอาจารย์จะเพี้ยน ถามเรื่องหนี่งตอบเรื่องหนึ่ง
อาจารย์ : ที่ขอให้ผม ยกตัวอย่างประกอบคำบรรยายที่ว่า สถานการณ์ “กลัวสุดขีด” มาคิดจะทำให้เราพบว่า ราคาหุ้นจะต่ำมาก เพราะมีแต่ละคนเทขายหุ้น ส่งผลให้ ROI เพิ่มสูงขึ้น หรือ High Return ในขณะเดียวกัน Low Risk เพราะเมื่อราคาต่ำมาก โอกาสที่หุ้นจะลดลงไปอีกจะน้อยลง เนื่องจาก DY จะเพิ่มขึ้น ทำให้มีนักลงทุนเริ่มกลับเข้ามาลงทุนเพราะ DY ยั่วยวนเหลือเกิน”
ตัวอย่าง สมมติว่าเราจะซื้อหุ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 กรณี เปรียบเทียบกัน ดังนี้
1) กรณีปรกติ คือ ไม่มีข่าวดีหรือข่าวร้ายมากระทบกับหุ้นที่เราจะซื้อ
2) กรณีกลัวบ้าง คือ มีข่าวร้ายมากระทบกับหุ้นที่เราจะซื้อจึงทำให้ราคาลดลง 10% จากราคาปรกติ
3) กรณีกลัวมาก คือ มีข่าวร้ายมากระทบหุ้นที่เราจะซื้อจึงทำให้ราคาลดลง 30% จากราคาปรกติ
4) กรณีกลัวสุดขีด คือ มีข่าวร้ายมากระทบหุ้นที่เราจะซื้อจึงทำให้ราคาลดลง 50% จากราคาปรกติ
ทุกกรณีหุ้นจะดีดกลับมาให้ขายที่ราคาเท่ากับ 21 บาท คือ กลับมาสู่ภาวะปรกติ ภายใน 1 ปี
ผมขอแสดงเป็นตารางดังนี้
สมการที่ใช้คำนวณ DY , CG , และ ROI คือ
ROI = เงินปันผล x 100% / ราคาหุ้นที่ซื้อ + (ราคาหุ้นที่ขาย – ราคาหุ้นที่ซื้อ) x 100% / ราคาหุ้นที่ซื้อ
ROI = อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล + อัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้น
ROI = Dividend Yield (DY) + Capital Gain (CG)
จะเห็นได้จากตารางว่า หากเราซื้อหุ้นตอนปรกติ จะมี ROI เท่ากับ 10% ต่อปี แต่หาก เราซื้อหุ้นที่ตอนกลัวสุดขีด จะเห็นว่า ROI จะเพิ่มขึ้นเท่ากับ 120% ต่อปี ในขณะเดียวกันจะเห็นว่า DY เท่ากับ 10% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดีมาก จึงทำให้นักลงทุนแห่กันมาซื้อทำให้หุ้นหยุดตก
กรณีนี้ทำให้เราพบสถานการณ์ คือ ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูง (Low Risk High Return)
ลูกศิษย์ : แจ่มแจ้งเลยครับ
อาจารย์ : พระอาทิตย์ขึ้นตอน 4.30 อีกแล้ว
ลูกศิษย์เหลือบมองเวลาจากนาฬิกาที่แขวนไว้เหนือหัวนักดนตรีที่บรรเลงเพลงอย่างไม่รู้จ้กเหน็ดเหนื่อยเหมือนกันแทบทุกคืนที่ผ่านมา…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น