ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มูลค่าหุ้นตามแฟรนไชด์ (ต่อ 2)

มูลค่าหุ้นที่แท้จริง ประกอบด้วย มูลค่าหุ้นตามบัญชี + มูลค่าหุ้นตามแฟรนไชด์ + มูลค่าหุ้นตามการเติบโต โดยที่ มูลค่าหุ้นตามบัญชี สามารถคำนวณได้จากงบแสดงฐานะการเงินล่าสุด ซึ่งได้กล่าวไปแล้วในบทความที่ผ่านมา

มูลค่าหุ้นตามแฟรนไชด์ คำนวณได้จาก ROE - Ke เช่น หุ้น ABCD มี  ROE 20% ในขณะที่มี Ke เท่ากับ 10% ซึ่งจะแสดงรายการคำนวณข้างล่าง ดังนั้นมูลค่าแฟรนไชด์จะเท่ากับ 10% มาจาก 20%-10%

หากต้องการจะแปลงเป็นมูลค่าเป็นตัวเงิน สามารถทำได้โดยการ นำมูลค่าแฟรนไชด์ คูณกับ มูลค่าหุ้นตามบัญชี สมมติว่าหุ้นต้วนี้มีมูลค่าหุ้นตามบัญชีเท่ากับ 100 บาท ดังน้้นมูลค่าแฟรนไชด์จะเท่ากับ 10% x 100 = 10 บาท

อย่างไรก็ตามมูลค่าแฟรนไชด์ที่เกิดขึ้นตามที่กล่าวข้างต้นเป็นมูลค่าที่เกิดขึ้นเพียง 1 ปีเท่านั้น หากหุ้นตัวนี้มีมูลค่าแฟรนไชด์ตลอดไปของการทำธุรกิจ สามารถทำได้โดยการ มูลค่าแฟรนไชด์ทีคำนวณได้ คือ 10 บาท หารด้วย Ke ซึ่งกรณีนี้มีเงื่อนไขว่าหุ้น ABCD ไม่มีการเติบโตของกำไรสุทธิ

จากตัวอย่างข้างต้น Ke เท่ากับ 10% ดังนั้นมูลค่าแฟรนไชด์จะเท่ากับ 10/10% = 100 บาท


ค่า Ke คือ ผลตอบแทนขั้นต่ำที่ผู้ถือหุ้นต้องการจากการลงทุนต่อปี ซึ่งมีสมการดังนี้
 
 
โดยที่ Krf คือ อัตราผลตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาลนิยมใช้ พันธบัตรอายุ 5 ปี หรือ 10 ปี
 
          Km คือ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ไทยควรใช้อย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป
 
          Bi    คือ ค่าเบต้าของหุ้นที่จะลงทุนนิยมอ้างอิงจากบริษัทหลักทรัพย์ 
 
สมมติให้ หุ้น ABCD มีค่า Bi เท่ากับ 1.0 และ Krf = 3% Km = 12% จะทำให้สามารถคำนวณหาผลตอบแทนขั้นต่ำที่ผู้ถือหุ้นต้องการจากจากการลงทุนได้ดังนี้
 
                     Ke = 3% + (12% - 5%) x 1.0 = 10% ต่อปี
 
 
จากกรณีของหุ้น ABCD ที่กล่าวมาข้างต้นสามารถเขียนเป็นสมการได้ดังนี้
 
                      V =  BVPS + (ROE - Ke) x BVPS
                                                      Ke
 
เทียบเท่ากับ V =  มูลค่าหุ้นตามบัญชี + มูลค่าหุ้นตามแฟรนไชด์ + 0
ซึ่ง 0 คือ ไม่มีมูลค่าหุ้นตามการเติบโต
 
                      V = 100 + 10% x 100   = 100 + 100 = 200 บาท
                                           10%
 
มูลค่าหุ้นที่แท้จริง (V) ของหุ้น ABCD เท่ากับ 200 บาท ประกอบด้วย มูลค่าตามบัญชี 100 บาท และมูลค่าตามแฟรนไชด์อีก 100 บาท ส่วนมูลค่าการเติบโตไม่มี
 
สรุปได้ว่า การประเมินมูลค่าหุ้นที่แท้จริงจากสมการข้างต้นต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ธุรกิจนั้นอยู่ในสถานะอิ่มต้วแล้ว ซึ่งหมายถึงไม่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดแล้ว ดังนั้นหากธุรกิจมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจะเกิดมูลค่าตามการเติบโต ซึ่งการจะหามูลค่าตามการเติบโตนั้นให้ใช้หลักการของ DCF Model มาร่วมในการคำนวณ 
 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระบวนการลงทุนแนว VI

ควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดี

ถาม : ดิฉันกำลังคิดจะทำธุรกิจ อยากทราบว่าควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดีค่ะ ตอบ : คุณต้องประมาณเงินลงทุนทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ (1) ประมาณการเงินลงทุนสินทรัพย์ถาวร (2) ประมาณการเงินหมุนเวียนสุทธิ (Net Working Capital)  หลังจากนั้นคุณก็นำรายการที่ (1) บวกกับรายการที่ (2) แล้ว ผลรวมที่ได้คือ เงินลงทุนทั้งหมด ในกรณีที่คุณไม่ต้องการกู้เงิน เงินลงทุนทั้งหมดจะเป็นทุนที่ชำระแล้ว ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้ว่า ผู้ถือหุ้นต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 25% ของทุนจดทะเบียน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณจดทะเบียน 1.0 ล้านบาท คุณต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 250,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 75% ถือว่าเป็นภาระผูกพันของผู้ถือหุ้นที่มีต่อบริษัท ดังนั้นในกรณีที่บริษัทดำเนินธุรกิจจนเจ๊ง เจ้าหนี้สามารถใช้สิทธิบังคับให้ผู้ถือหุ้นชำระค่าหุ้นคงเหลืออีก 75% ซึ่งหมายความว่า หุ้นที่ชำระไม่ครบ 75% มีสถานะเป็นหนี้ของผู้ถือหุ้นนั่นเอง ตัวอย่าง การประมาณงินลงทุน เช่น บริษัท ABCD จำกัด มีสมมติฐานว่าปีหน้าจะมียอดขายประมาณ 10 ล้านบาท ต้นทุนขายประมาณ 7.5 ล้านบาท และงบประมาณการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร...

ช่วงเวลาในการซื้อขายหุ้น (Investment Timing)

ราคาหุ้นในตลาดหุ้น (Market Price) ถูกกำหนดมาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้ ปัจจัยภายนอก (External Factor) คือ ปัจจัยที่ไม่ได้มาจากกิจการโดยตรงซึ่งเป็นปัจจัยที่กิจการไม่สามารถควบคุมได้ เช่น กระแสเงินเงินทุนไหลออกและไหลเข้า (Fund Flow) วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางของสหรัฐฯและยุโรป การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับลดค่าเงินหยวน สงครามระหว่างประเทศและการก่อการร้ายในกลุ่มประเทศยุโรป จนถึง ตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรุนแรง การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล การปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาน้ำมัน การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคาร การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น ปัจจัยภายใน (Internal Factor) คือ ปัจจัยที่มาจากกิจการโดยตรง เช่น การขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ การขายหุ้นเพิ่มทุน การควบรวมกิจการ การซื้อและขายกิจการ การเพิ่มอัตราการก่อหนี้ในกิจการ การปิดบริษัทย่อย...

ต้นทุนเงินทุน (WACC)

ต้นทุนเงินทุน (Cost of Capital) หรือ ที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไป คือ WACC (Weighted Average Cost of Capital) หมายถึง ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของเงินทุน  มีประโยชน์เพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่ควรลงทุนในโครงการใดบ้างของบริษัท เช่น คุ้มค่าหรือไม่ที่จะลงทุนในโครงการใหม่ของบริษัท เป็นต้น อีกทั้ง WACC นี้ยังสามารถใช้ในการคำนวณหามูลค่าของกิจการ (Enterprise Value) และมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Intrinsic Value of Stock) ได้อีกด้วย WACC ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ประเภท คือ :- ประเภทที่ 1 ต้นทุนจากการเงินกู้ยืม หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (kd)   ประเภทที่ 2 ต้นทุนจากเงินทุนของผู้ถือหุ้น  หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (ke) เพื่อความง่ายในการทำความเข้าใจ WACC ขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้ บริษัท A มีเงินทุนประกอบด้วย เงินกู้จากเจ้าหนี้ที่มีดอกเบี้ย 100 ล้านบาท และเงินทุนจากผู้ถือหุ้น 100 ล้านบาท ดังนั้นเงินทุนทั้งหมดของกิจการ A คือ เงินกู้จากเจ้าหนี้ฯ + เงินทุนจากผู้ถือหุ้น = 100 + 100 ล้านบาท เท่ากับ 200 ล...

ควรตั้งเป้ายอดขายขั้นต่ำเท่าไหร่

ถาม : ตอนนี้ผมทำธุรกิจส่วนตัว และต้องการตั้งเป้าหมายการขายให้กับฝ่ายขาย อาจารย์พอจะมีวิธีที่ใช้ประมาณการขายหรือเปล่าครับ ตอบ : การตั้งเป้าหมายในการขายให้กับฝ่ายขาย เราสามารถคำนวณหาได้จากจุดคุ้มทุนขาย (Break-Even point of Sales) คือ ยอดขายที่ทำไม่มีผลกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิ หรือ ยอดขายที่พอดีกับค่าใช้จ่ายของกิจการ หรืออีกนัยหนึ่ง คือยอดขายขั้นต่ำที่ต้องให้กับฝ่ายขาย โดยมีสูตรดังนี้                                              จุดคุ้มทุนขาย  =   ค่าใช้จ่ายคงที่                                                  ...