ตลาดหุ้นประสบกับภาวะวิกฤตแทบจะตลอดเวลา เพราะเศรษฐกิจสะท้อนภาพมายังตัวธุรกิจ และส่งต่อมาในราคาหุ้น และส่งผ่านไปยังตลาดหุ้นในที่สุด ดังนั้นในแทบทุกปีจะมีข่าวลบเกิดขึ้นในโลกตลอดเวลา ซึ่งเกือบทุกข่าวจะเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการก่อการร้าย สงคราม การปฏิวัติ และการเมือง
จนกระทั่งทุกวันนี้ ข่าวดียังเป็นข่าวลบในตลาดหุ้นได้ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากกรณีของสหรัฐฯคาดว่าจะลด (Tapering) QE4 ลง ทั้งที่การลด QE4 ครั้งนี้เนื่องจากเศรษฐกิจของอเมริการเริ่มฟื้นตัว ซึ่งหากเป็นสามัญสำนึกตามปรกติหุ้นต้องปรับตัวขึ้น เพราะเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงจากระดับประมาณ 1,700 จุด เหลือเพียงประมาณ 1,300 จุด หรือลดลงถึง 23.5% ในช่วงเวลาเพียง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
เหตุการณ์นี้อธิบายได้อย่างสั้นๆว่า คือ วิกฤตเงินไหลออก (Fund Flow Crisis) เพราะตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีเงินไหลออกเกือบ 120,000 ล้านบาท (โฮ้ แม่เจ้า เกิดอะไรขึ้น) ทั้งที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยเติบโตอย่างน่าประทับใจ
จากสวรรค์สู่ขุมนรกในเวลาแค่พริบตา ดังนั้นตลาดหุ้นจึงเป็นเรื่องคาดการณ์ได้ยากยิ่ง เพราะข่าวลบ ตลาดหุ้นก็ตก ข่าวบวก ตลาดหุ้นก็ตกเช่นกัน ราวกับบอกว่าก็อยากจะตกเสียอย่างใครจะทำไม
นักลงทุนดีควรมีกลยุทธ์ไว้ใช้ในยามตลาดตกต่ำ ซึ่งผมได้เสนอแนวทางกลยุทธ์การลงทุนภายใต้วิกฤตไว้ตามรายละเอียดดังนี้
จากตารางข้างต้นจะเห็นได้ว่า หากเรามีเงินลงทุน 1.0 ล้านบาท ควรจะลงทุน 1 แสนบาท เมื่อมูลค่าหุ้นที่แท้จริงลดลง 20% และควรลงทุนเพิ่มอีก 2 แสนบาท เมื่อมูลค่าหุ้นลดลง 30% ดังนั้นสรุปได้ว่า เมื่อมูลหุ้นตกถึง 50% เราจะลงทุนทั้งหมด
หากทำได้ตามนี้จะพบว่าต้นทุนของหุ้นจะอยู่ 58.5 บาท เมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้นที่แท้จริง 100 บาท หรือ คิดเป็นค่าเผื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) เท่ากับ 41.5% ซึ่งสูงมากๆ เพราะเทียบกับนักลงทุนระดับโลกเขายังขอแค่เพียง 25% เอง
สมมติว่าหุ้นเกิดเด้งกลับมาที่ราคา 80 บาท และเราขายหุ้นทั้งหมดเราจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเท่ากับ 26.9% แต่หากขายที่ 100 บาท จะมีผลตอบแทนจากการลงทุน 41.5% แค่คิดก็มีความสุขแล้วครับ
โชคดีในการลงทุน และขอให้รวยแบบซ้ำๆซากๆนะครับพี่น้องชาวไทย
จนกระทั่งทุกวันนี้ ข่าวดียังเป็นข่าวลบในตลาดหุ้นได้ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากกรณีของสหรัฐฯคาดว่าจะลด (Tapering) QE4 ลง ทั้งที่การลด QE4 ครั้งนี้เนื่องจากเศรษฐกิจของอเมริการเริ่มฟื้นตัว ซึ่งหากเป็นสามัญสำนึกตามปรกติหุ้นต้องปรับตัวขึ้น เพราะเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงจากระดับประมาณ 1,700 จุด เหลือเพียงประมาณ 1,300 จุด หรือลดลงถึง 23.5% ในช่วงเวลาเพียง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
เหตุการณ์นี้อธิบายได้อย่างสั้นๆว่า คือ วิกฤตเงินไหลออก (Fund Flow Crisis) เพราะตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีเงินไหลออกเกือบ 120,000 ล้านบาท (โฮ้ แม่เจ้า เกิดอะไรขึ้น) ทั้งที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยเติบโตอย่างน่าประทับใจ
จากสวรรค์สู่ขุมนรกในเวลาแค่พริบตา ดังนั้นตลาดหุ้นจึงเป็นเรื่องคาดการณ์ได้ยากยิ่ง เพราะข่าวลบ ตลาดหุ้นก็ตก ข่าวบวก ตลาดหุ้นก็ตกเช่นกัน ราวกับบอกว่าก็อยากจะตกเสียอย่างใครจะทำไม
นักลงทุนดีควรมีกลยุทธ์ไว้ใช้ในยามตลาดตกต่ำ ซึ่งผมได้เสนอแนวทางกลยุทธ์การลงทุนภายใต้วิกฤตไว้ตามรายละเอียดดังนี้
จากตารางข้างต้นจะเห็นได้ว่า หากเรามีเงินลงทุน 1.0 ล้านบาท ควรจะลงทุน 1 แสนบาท เมื่อมูลค่าหุ้นที่แท้จริงลดลง 20% และควรลงทุนเพิ่มอีก 2 แสนบาท เมื่อมูลค่าหุ้นลดลง 30% ดังนั้นสรุปได้ว่า เมื่อมูลหุ้นตกถึง 50% เราจะลงทุนทั้งหมด
หากทำได้ตามนี้จะพบว่าต้นทุนของหุ้นจะอยู่ 58.5 บาท เมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้นที่แท้จริง 100 บาท หรือ คิดเป็นค่าเผื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) เท่ากับ 41.5% ซึ่งสูงมากๆ เพราะเทียบกับนักลงทุนระดับโลกเขายังขอแค่เพียง 25% เอง
สมมติว่าหุ้นเกิดเด้งกลับมาที่ราคา 80 บาท และเราขายหุ้นทั้งหมดเราจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเท่ากับ 26.9% แต่หากขายที่ 100 บาท จะมีผลตอบแทนจากการลงทุน 41.5% แค่คิดก็มีความสุขแล้วครับ
โชคดีในการลงทุน และขอให้รวยแบบซ้ำๆซากๆนะครับพี่น้องชาวไทย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น