เจ้าสัวชวนผมไปเวียนเทียนในวันมาฆบูชาเพื่อจะได้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าที่ท่านทรงมีความเมตตาและความกรุณาแก่สัตว์โลกทั้งที่ท่านไม่จำเป็นต้องทำเลยก็ได้ โดยท่านได้แสดงธรรมะอันเป็นหลักคำสอนสำคัญของศาสนา คือ "โอวาทปาฎิโมกท์" ที่กล่าวไว้อย่างย่อดังนี้
"การละเว้นความชั่ว การทำความดี และการทำจิตใจตนเองให้ผ่องใส"
เฮียแกอธิบายต่อเพราะเห็นแววตาผมไม่ตอบสนองใดๆทั้งสิ้นว่า การละเว้นความชั่ว คือ การไม่ทำผิดทั้งกายและวาจา ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ การไม่ลักทรัพย์ การไม่ประพฤติในกาม การไม่พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ และการไม่ดื่มของมึนเมาเพราะเบียดเบียนตนเอง
ส่วนการทำความดี คือ การให้ช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ การให้ทานกับผู้อื่นทั้งทางทรัพย์และทางปัญญา ตามกำลังของตนเอง
ส่วนการทำจิตใจตนเองให้ผ่องใส คือ การทำสมาธิให้จิตใจบริสุทธิ์ เพื่อลดความอยากมี อยากเป็น อยากเป็นได้ และการเลิกคิดอาฆาตพยาบาทต่อผู้อื่น
กล่าวโดยสรุปด้วยคำพูดสั้นๆว่า "การพยายามมีสติอย่างสม่ำเสมอ" เพราะเมื่อมีสติ เมื่อนั้นจะเกิดการละเว้นความชั่วอัตโนมัติ จะเกิดการทำความดีอัตโนมัติ และจะเกิดจิตใจผ่องใสอัตโนมัติ ทั้งหมดสามารถเกิดขึ้นในขณะจิตเดียวเมื่อจิตเกิดสติขึ้นมา
ผมถามต่อว่า การเกิดสติทำได้อย่างไร ?
แกตอบทันควัน การเกิตสติได้ต้องมีการฝึกสติมาก่อน การฝึกสตินั้นทำได้โดยเราต้องพยายามจดจำสิ่งใดที่แปลกปลอมเข้ามาในจิต อันประกอบด้วย ความโกรธ ความโลภ และความหลง เมื่อเราจดจำสภาวะของสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว สติจะเกิดขึ้นเองเมื่อสภาวะเหล่านี้เกิดขึ้น
เมื่อสติเกิดขึ้นเองบ่อยๆ เราจะพบความจริงที่ไม่ตายว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นให้จิตรับรู้นี้มีลักษณะเป็นไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา อธิบายได้ว่าเกือบทุกสิ่งในโลกนี้ จักรวาลนี้ โลกหน้า จักรวาลหน้า ไม่เที่ยง แปรปรวนเปลี่ยนแปลง และเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยไม่มีใครบังคับหรือสั่งได้
ผมถามด้วยความอยากรู้ เกือบทุกสิ่งแสดงว่ามีบางสิ่งที่ไม่มีไตรลักษณ์คืออะไรครับ ?
แกจ้องตาผมแล้วตอบกลับ เมื่อเกิดสติอัตโนมัติจะเข้าใจเองว่าบางสิ่งนั้นคืออะไร....
"การละเว้นความชั่ว การทำความดี และการทำจิตใจตนเองให้ผ่องใส"
เฮียแกอธิบายต่อเพราะเห็นแววตาผมไม่ตอบสนองใดๆทั้งสิ้นว่า การละเว้นความชั่ว คือ การไม่ทำผิดทั้งกายและวาจา ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ การไม่ลักทรัพย์ การไม่ประพฤติในกาม การไม่พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ และการไม่ดื่มของมึนเมาเพราะเบียดเบียนตนเอง
ส่วนการทำความดี คือ การให้ช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ การให้ทานกับผู้อื่นทั้งทางทรัพย์และทางปัญญา ตามกำลังของตนเอง
ส่วนการทำจิตใจตนเองให้ผ่องใส คือ การทำสมาธิให้จิตใจบริสุทธิ์ เพื่อลดความอยากมี อยากเป็น อยากเป็นได้ และการเลิกคิดอาฆาตพยาบาทต่อผู้อื่น
กล่าวโดยสรุปด้วยคำพูดสั้นๆว่า "การพยายามมีสติอย่างสม่ำเสมอ" เพราะเมื่อมีสติ เมื่อนั้นจะเกิดการละเว้นความชั่วอัตโนมัติ จะเกิดการทำความดีอัตโนมัติ และจะเกิดจิตใจผ่องใสอัตโนมัติ ทั้งหมดสามารถเกิดขึ้นในขณะจิตเดียวเมื่อจิตเกิดสติขึ้นมา
ผมถามต่อว่า การเกิดสติทำได้อย่างไร ?
แกตอบทันควัน การเกิตสติได้ต้องมีการฝึกสติมาก่อน การฝึกสตินั้นทำได้โดยเราต้องพยายามจดจำสิ่งใดที่แปลกปลอมเข้ามาในจิต อันประกอบด้วย ความโกรธ ความโลภ และความหลง เมื่อเราจดจำสภาวะของสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว สติจะเกิดขึ้นเองเมื่อสภาวะเหล่านี้เกิดขึ้น
เมื่อสติเกิดขึ้นเองบ่อยๆ เราจะพบความจริงที่ไม่ตายว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นให้จิตรับรู้นี้มีลักษณะเป็นไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา อธิบายได้ว่าเกือบทุกสิ่งในโลกนี้ จักรวาลนี้ โลกหน้า จักรวาลหน้า ไม่เที่ยง แปรปรวนเปลี่ยนแปลง และเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยไม่มีใครบังคับหรือสั่งได้
ผมถามด้วยความอยากรู้ เกือบทุกสิ่งแสดงว่ามีบางสิ่งที่ไม่มีไตรลักษณ์คืออะไรครับ ?
แกจ้องตาผมแล้วตอบกลับ เมื่อเกิดสติอัตโนมัติจะเข้าใจเองว่าบางสิ่งนั้นคืออะไร....
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น