ลูกศิษย์ : ครั้งที่แล้ว อาจารย์เหมือนจะอธิบายเรื่อง ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูง ในครบทั้งหมดนะครับ อาจารย์ช่วยอธิบายต่อได้ไหมครับ
อาจารย์ : ขอเวลานึกก่อน ตอนนั้นเราเลิกคุยกันตอนกี่โมง คุณจำได้ไหมจะได้ช่วยให้ผมคิดออก
ลูกศิษย์ : ประมาณตี 4.30 ครับ
อาจารย์ : อ้อ นึกออกแล้ว ตอนนั้นผมบอกคุณว่า
สถานการณ์ “กลัวสุดขีด” จะทำให้เกิด ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนต้องสูง (Low Risk High Return)
สถานการณ์ “โลภสุดขีด” จะทำให้เกิด ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนต้องต่ำ (High Risk Low Return)
จากทั้งสองสถานการณ์ พบว่า สถานการณ์ “กลัวสุดขีด” จะทำให้เราสามารถสร้างกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ หรือ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้อย่างในระดับที่สูง
คุณลองนึกถึงสมการ ROI ที่มีสูตรดังนี้
ROI = เงินปันผล x 100% / ราคาหุ้น + กำไรส่วนต่างราคาหุ้น x 100% / ราคาหุ้นROI = อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล + อัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้น
ROI = Dividend Yield (DY) + Capital Gain (CG)
จากสมการข้างต้น จะพบว่า หากราคาหุ้นลดลง จะทำให้ อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงขึ้น และจะทำให้ อัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นด้วย สรุปก็คือ ทำให้ ROI เพิ่มขึ้น
ในทางกลับกันหากราคาหุ้นเพิ่มขึ้น จะทำให้ อัตราผลตอบแทนเงินปันผลลดลง และจะทำให้ อัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้นลดลงด้วย สรุปก็คือ ทำให้ ROI ลดลง
หากนำ สถานการณ์ “กลัวสุดขีด” มาคิดจะทำให้เราพบว่า ราคาหุ้นจะต่ำมาก เพราะมีแต่ละคนเทขายหุ้น ส่งผลให้ ROI เพิ่มสูงขึ้น หรือ High Return ในขณะเดียวกัน Low Risk เพราะเมื่อราคาต่ำมาก โอกาสที่หุ้นจะลดลงไปอีกจะน้อยลง เนื่องจาก DY จะเพิ่มขึ้น ทำให้มีนักลงทุนเริ่มกลับเข้ามาลงทุนเพราะ DY ยั่วยวนเหลือเกิน
แต่หากนำ สถานการณ์ “โลภสุดขีด” มาคิดจะทำให้เราพบว่า ราคาหุ้นจะสูงมาก เพราะมีแต่ละคนไล่ซื้อหุ้น ส่งผลให้ ROI ต่ำลง หรือ Low Return ในขณะเดียวกัน High Risk เพราะเมื่อราคาสูงมาก โอกาสที่หุ้นจะเพิ่มขึ้นไปอีกจะน้อยลง เนื่องจาก DY จะลดลง ทำให้มีนักลงทุนเริ่มลดการลงทุนเพราะ DY ไม่น่าสนใจเอาเสียเลย
ลูกศิษย์ : ผมเข้าใจที่อาจารย์ทั้งหมดเลยครับ แต่ช่วยยกตัวอย่างประกอบได้หรือเปล่าครับ จะได้เห็นภาพชัดเจน
อาจารย์ : วันนี้ผมขอพอแค่นี้ก่อนนะครับ เพราะตอนนี้เกือบตี 4.30 แล้ว
ลูกศิษย์ : ….
อาจารย์ : ขอเวลานึกก่อน ตอนนั้นเราเลิกคุยกันตอนกี่โมง คุณจำได้ไหมจะได้ช่วยให้ผมคิดออก
ลูกศิษย์ : ประมาณตี 4.30 ครับ
อาจารย์ : อ้อ นึกออกแล้ว ตอนนั้นผมบอกคุณว่า
สถานการณ์ “กลัวสุดขีด” จะทำให้เกิด ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนต้องสูง (Low Risk High Return)
สถานการณ์ “โลภสุดขีด” จะทำให้เกิด ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนต้องต่ำ (High Risk Low Return)
จากทั้งสองสถานการณ์ พบว่า สถานการณ์ “กลัวสุดขีด” จะทำให้เราสามารถสร้างกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ หรือ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้อย่างในระดับที่สูง
คุณลองนึกถึงสมการ ROI ที่มีสูตรดังนี้
ROI = เงินปันผล x 100% / ราคาหุ้น + กำไรส่วนต่างราคาหุ้น x 100% / ราคาหุ้นROI = อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล + อัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้น
ROI = Dividend Yield (DY) + Capital Gain (CG)
จากสมการข้างต้น จะพบว่า หากราคาหุ้นลดลง จะทำให้ อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงขึ้น และจะทำให้ อัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นด้วย สรุปก็คือ ทำให้ ROI เพิ่มขึ้น
ในทางกลับกันหากราคาหุ้นเพิ่มขึ้น จะทำให้ อัตราผลตอบแทนเงินปันผลลดลง และจะทำให้ อัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้นลดลงด้วย สรุปก็คือ ทำให้ ROI ลดลง
หากนำ สถานการณ์ “กลัวสุดขีด” มาคิดจะทำให้เราพบว่า ราคาหุ้นจะต่ำมาก เพราะมีแต่ละคนเทขายหุ้น ส่งผลให้ ROI เพิ่มสูงขึ้น หรือ High Return ในขณะเดียวกัน Low Risk เพราะเมื่อราคาต่ำมาก โอกาสที่หุ้นจะลดลงไปอีกจะน้อยลง เนื่องจาก DY จะเพิ่มขึ้น ทำให้มีนักลงทุนเริ่มกลับเข้ามาลงทุนเพราะ DY ยั่วยวนเหลือเกิน
แต่หากนำ สถานการณ์ “โลภสุดขีด” มาคิดจะทำให้เราพบว่า ราคาหุ้นจะสูงมาก เพราะมีแต่ละคนไล่ซื้อหุ้น ส่งผลให้ ROI ต่ำลง หรือ Low Return ในขณะเดียวกัน High Risk เพราะเมื่อราคาสูงมาก โอกาสที่หุ้นจะเพิ่มขึ้นไปอีกจะน้อยลง เนื่องจาก DY จะลดลง ทำให้มีนักลงทุนเริ่มลดการลงทุนเพราะ DY ไม่น่าสนใจเอาเสียเลย
ลูกศิษย์ : ผมเข้าใจที่อาจารย์ทั้งหมดเลยครับ แต่ช่วยยกตัวอย่างประกอบได้หรือเปล่าครับ จะได้เห็นภาพชัดเจน
อาจารย์ : วันนี้ผมขอพอแค่นี้ก่อนนะครับ เพราะตอนนี้เกือบตี 4.30 แล้ว
ลูกศิษย์ : ….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น