ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูง ตอนที่ 1

ลูกศิษย์ : ผมได้อ่านหนังสือการเงินมาทุกเล่มเชียนเหมือนกันหมดเลยว่า “ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนต้องสูง (High Risk High Return)”  จึงอยากถามอาจารย์ว่า มันมีหรือเปล่าครับที่ ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนต้องสูง (Low Risk High Return)

อาจารย์ :  คุณชอบคำถามที่ตอบยาก ผมอยากเลิกเป็นอาจารย์คุณแล้ว เพราะคุณทำให้ผมเครียดนับตั้งแต่รู้จักกับคุณ ชีวิตผมมีแต่ต้องตอบคำถามที่คุณหาคำตอบไม่ได้

ลูกศิษย์ : ขอร้องเถอะครับ อย่าเลิกคบกับผมเลย เพราะไม่มีใครมาช่วยระบายความเครียดของผม เพราะชีวิตผมมีคำถามมากมายที่หาคำตอบไม่ได้

อาจารย์ :  ตกลง ผมจะไม่เลิกคบกับคุณ เพราะถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน เราคงเคยทำบุญทำกรรมร่วมกันมาก่อน แต่ชาตินี้ผมจะพยายามคิดว่าผมชดใช้กรรมกับคุณแล้วกัน เผื่อชาติหน้าจะไม่ต้องได้เจอะกันอีก

ลูกศิษย์ : ไม่เป็นไรครับ งั้นชาติหน้าค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้ขอออาจารย์ตอบคำถามผมก่อนครับ

อาจารย์ : ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูง (High Risk High Return) นั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเหตุการณ์นั้นมันมีอารมณ์ความรู้สึกอยู่ในนั้น มันจึงเกิดอาการแบบไม่มีเหตุผล ซึ่งหนังสือการเงินก็เขียนถูกต้องที่ว่า “ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนต้องสูง” เพราะเขาเขียนภายใต้สมมติฐานว่าเหตุการณ์นั้นมีความสมเหตุสมผล

แต่ในโลกของความเป็นจริง เหตุการณ์ต่างๆนั้นมีอารมณ์ความรู้สึกอยู่ด้วยตลอดเวลา เพราะมันมีคนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์เสมอ ตัวย่างที่ชัดเจน คือ การเล่นหุ้น จะพบว่าคนเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดการซื้อขายหุ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่คนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น กลัวสุดขีด จะเกิดการเทขายแบบไม่ลืมหูลืมตา เกิดสถานการณ์ “กูด้วย (Me Too)” โดยไม่คำนึงถึงว่า หุ้นที่เทขายนั้นราคาถูกเกินไป เนื่องจากอารมณ์ความรู้สึกกลัวได้ครอบงำความมีเหตุผลไปหมดแล้ว

ในทำนองกลับกัน  เมื่อไหร่ก็ตามที่คนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น โลภสุดขีด จะเกิดการซื้อกันแบบไม่ลืมหูลืมตา เกิดสถานการณ์ “กูด้วย (Me Too)”  เช่นกัน โดยไม่คำนึงถึงว่า หุ้นที่ซื้อนั้นราคาแพงเกินไป เนื่องจากอารมณ์ความรู้สึกโลภได้ครอบงำความมีเหตุผลไปหมดแล้ว


สถานการณ์ “กลัวสุดขีด” จะทำให้เกิด ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนต้องสูง (Low Risk High Return)



สถานการณ์ “โลภสุดขีด” จะทำให้เกิด ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนต้องต่ำ (High Risk Low Return)

 
จากทั้งสองสถานการณ์ พบว่า สถานการณ์ “กลัวสุดขีด” จะทำให้เราสามารถสร้างกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ หรือ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้อย่างในระดับที่สูง

ลูกศิษย์ : ก่อนอาจารย์จะอธิบายต่อ วันนี้ผมขอพอแค่นี้ก่อนนะครับ เพราะตอนนี้เกือบตี 4.30 แล้วครับ
อาจารย์พยักหน้ารับ แต่คิดในใจ “ไม่นอนวันเดียว ไม่ตายหรอก”….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระบวนการลงทุนแนว VI

ควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดี

ถาม : ดิฉันกำลังคิดจะทำธุรกิจ อยากทราบว่าควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดีค่ะ ตอบ : คุณต้องประมาณเงินลงทุนทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ (1) ประมาณการเงินลงทุนสินทรัพย์ถาวร (2) ประมาณการเงินหมุนเวียนสุทธิ (Net Working Capital)  หลังจากนั้นคุณก็นำรายการที่ (1) บวกกับรายการที่ (2) แล้ว ผลรวมที่ได้คือ เงินลงทุนทั้งหมด ในกรณีที่คุณไม่ต้องการกู้เงิน เงินลงทุนทั้งหมดจะเป็นทุนที่ชำระแล้ว ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้ว่า ผู้ถือหุ้นต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 25% ของทุนจดทะเบียน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณจดทะเบียน 1.0 ล้านบาท คุณต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 250,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 75% ถือว่าเป็นภาระผูกพันของผู้ถือหุ้นที่มีต่อบริษัท ดังนั้นในกรณีที่บริษัทดำเนินธุรกิจจนเจ๊ง เจ้าหนี้สามารถใช้สิทธิบังคับให้ผู้ถือหุ้นชำระค่าหุ้นคงเหลืออีก 75% ซึ่งหมายความว่า หุ้นที่ชำระไม่ครบ 75% มีสถานะเป็นหนี้ของผู้ถือหุ้นนั่นเอง ตัวอย่าง การประมาณงินลงทุน เช่น บริษัท ABCD จำกัด มีสมมติฐานว่าปีหน้าจะมียอดขายประมาณ 10 ล้านบาท ต้นทุนขายประมาณ 7.5 ล้านบาท และงบประมาณการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร...

ช่วงเวลาในการซื้อขายหุ้น (Investment Timing)

ราคาหุ้นในตลาดหุ้น (Market Price) ถูกกำหนดมาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้ ปัจจัยภายนอก (External Factor) คือ ปัจจัยที่ไม่ได้มาจากกิจการโดยตรงซึ่งเป็นปัจจัยที่กิจการไม่สามารถควบคุมได้ เช่น กระแสเงินเงินทุนไหลออกและไหลเข้า (Fund Flow) วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางของสหรัฐฯและยุโรป การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับลดค่าเงินหยวน สงครามระหว่างประเทศและการก่อการร้ายในกลุ่มประเทศยุโรป จนถึง ตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรุนแรง การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล การปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาน้ำมัน การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคาร การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น ปัจจัยภายใน (Internal Factor) คือ ปัจจัยที่มาจากกิจการโดยตรง เช่น การขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ การขายหุ้นเพิ่มทุน การควบรวมกิจการ การซื้อและขายกิจการ การเพิ่มอัตราการก่อหนี้ในกิจการ การปิดบริษัทย่อย...

ต้นทุนเงินทุน (WACC)

ต้นทุนเงินทุน (Cost of Capital) หรือ ที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไป คือ WACC (Weighted Average Cost of Capital) หมายถึง ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของเงินทุน  มีประโยชน์เพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่ควรลงทุนในโครงการใดบ้างของบริษัท เช่น คุ้มค่าหรือไม่ที่จะลงทุนในโครงการใหม่ของบริษัท เป็นต้น อีกทั้ง WACC นี้ยังสามารถใช้ในการคำนวณหามูลค่าของกิจการ (Enterprise Value) และมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Intrinsic Value of Stock) ได้อีกด้วย WACC ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ประเภท คือ :- ประเภทที่ 1 ต้นทุนจากการเงินกู้ยืม หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (kd)   ประเภทที่ 2 ต้นทุนจากเงินทุนของผู้ถือหุ้น  หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (ke) เพื่อความง่ายในการทำความเข้าใจ WACC ขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้ บริษัท A มีเงินทุนประกอบด้วย เงินกู้จากเจ้าหนี้ที่มีดอกเบี้ย 100 ล้านบาท และเงินทุนจากผู้ถือหุ้น 100 ล้านบาท ดังนั้นเงินทุนทั้งหมดของกิจการ A คือ เงินกู้จากเจ้าหนี้ฯ + เงินทุนจากผู้ถือหุ้น = 100 + 100 ล้านบาท เท่ากับ 200 ล...

ควรตั้งเป้ายอดขายขั้นต่ำเท่าไหร่

ถาม : ตอนนี้ผมทำธุรกิจส่วนตัว และต้องการตั้งเป้าหมายการขายให้กับฝ่ายขาย อาจารย์พอจะมีวิธีที่ใช้ประมาณการขายหรือเปล่าครับ ตอบ : การตั้งเป้าหมายในการขายให้กับฝ่ายขาย เราสามารถคำนวณหาได้จากจุดคุ้มทุนขาย (Break-Even point of Sales) คือ ยอดขายที่ทำไม่มีผลกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิ หรือ ยอดขายที่พอดีกับค่าใช้จ่ายของกิจการ หรืออีกนัยหนึ่ง คือยอดขายขั้นต่ำที่ต้องให้กับฝ่ายขาย โดยมีสูตรดังนี้                                              จุดคุ้มทุนขาย  =   ค่าใช้จ่ายคงที่                                                  ...