ราคาหุ้นในตลาดหุ้น (Market Price) ถูกกำหนดมาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้
ปัจจัยภายนอก (External Factor) คือ ปัจจัยที่ไม่ได้มาจากกิจการโดยตรงซึ่งเป็นปัจจัยที่กิจการไม่สามารถควบคุมได้ เช่น กระแสเงินเงินทุนไหลออกและไหลเข้า (Fund Flow) วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางของสหรัฐฯและยุโรป การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับลดค่าเงินหยวน สงครามระหว่างประเทศและการก่อการร้ายในกลุ่มประเทศยุโรป จนถึง ตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรุนแรง การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล การปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาน้ำมัน การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคาร การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น
ปัจจัยภายใน (Internal Factor) คือ ปัจจัยที่มาจากกิจการโดยตรง เช่น การขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ การขายหุ้นเพิ่มทุน การควบรวมกิจการ การซื้อและขายกิจการ การเพิ่มอัตราการก่อหนี้ในกิจการ การปิดบริษัทย่อยที่สร้างผลขาดทุนอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ การได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีเพราะขยายงานไปในนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น
ปัจจัยภายนอก + ปัจจัยภายใน นำไปสู่ผลประกอบการของกิจการในอนาคต นำไปสู่ ราคาหุ้น
กรณีที่ 1 : ปัจจัยภายนอกมีแนวโน้มเป็น + และ ปัจจัยภายในเป็น + มีแนวโน้มจะนำไปสู่ผลประกอบการในอนาคตออกมาดีมาก ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
กรณีที่ 2 : ปัจจัยภายนอกมีแนวโน้มเป็น + และ ปัจจัยภายในเป็น - มีแนวโน้มจะนำไปสู่ผลประกอบการในอนาคตออกมาแย่มาก ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างช้าๆ
กรณีที่ 3 : ปัจจัยภายนอกมีแนวโน้มเป็น - และ ปัจจัยภายในเป็น + มีแนวโน้มจะนำไปสู่ผลประกอบการในอนาคตออกมาดีมาก ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างช้าๆ
กรณีที่ 4 : ปัจจัยภายนอกมีแนวโน้มเป็น - และ ปัจจัยภายในเป็น - มีแนวโน้มจะนำไปสู่ผลประกอบการในอนาคตออกมาแย่มาก ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
สำหรับสองสามปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยเข้าสู่กรณีที่ 4 จึงส่งผลให้ตลาดหุ้นผันผวนและปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง แต่อย่าลืมว่าในภาวะการณ์แบบนี้กลับเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพราะมันจะให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ในระดับที่ยอดเยี่ยมเทียบกับกรณีที่ 1 – 3
เมื่อซื้อหุ้นแล้วในกรณีที่ 4 ก็เฝ้ารอคอยให้กรณีที่ 1 มาถึง เมื่อมันมาถึงแล้วก็ขายหุ้นออกมาทำกำไร เพราะตอนที่ซื้อหุ้นกรณีที่ 4 เราจะซื้อหุ้นได้ราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม หรือที่เรียกว่า Undervalue แต่ตอนกรณีที่ 1 เราจะขายหุ้นได้ราคาสูงกว่ามูลค่ายุติธรรม หรือที่เรียกว่า Overvalue
ตลาดหุ้นจะกำหนดราคาหุ้นโดยอาศัยปัจจัยภายในและภายนอกที่เป็นระยะสั้นเท่านั้นคือไม่เกิน 1 ปี จึงเป็นผลให้มองผลประกอบการไม่เกิน 1 ปี ด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากท่านจินตนาการไปเกินกว่า 1 ปี อาจเป็น 5 ปีข้างหน้าท่านจะเห็นว่าภาพที่แตกต่างจากปัจจุบันเป็นอย่างมาก ท่านจะเห็นเส้นทางสู่การเป็นคนรวยไม่อยากอย่างที่คิด…
ลองนึกย้อนกลับดูนะครับ ว่า 20 ปีที่แล้ว เคยเห็นรถไฟฟ้าหรือไม่ เคยเห็นคอนโดมิเนียมผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดหรือไม่ เคยเห็นห้างสรรพสินค้าที่มีทุกถนนในกรุงเทพหรือไม่ เคยเห็นคนไทยมีรถยนต์ของตนเองมากขนาดนี้หรือไม่ เคยเห็นปั๊มน้ำมันที่มีทำอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าหรือไม่ เคยเห็นที่ไหนๆก็มีโรงแรมและรีสอร์ทให้พักหรือไม่
ลองจินตนาการดูครับว่า 20 ปีข้างหน้า ท่านจะเห็นอะไร….
การจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องใช้สมองทั้งสองด้าน ทั้งด้านเหตุและผล คือ สมองด้านซ้าย และด้านจินตนาการ คือ สมองด้านขวา ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“อย่าเชื่อสิ่งที่ตาเห็น แต่ให้เชื่อสิ่งที่นึกคิดในอนาคตภายใต้สิ่งที่เป็นไปได้ในปัจจุบัน”
ปัจจัยภายนอก (External Factor) คือ ปัจจัยที่ไม่ได้มาจากกิจการโดยตรงซึ่งเป็นปัจจัยที่กิจการไม่สามารถควบคุมได้ เช่น กระแสเงินเงินทุนไหลออกและไหลเข้า (Fund Flow) วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางของสหรัฐฯและยุโรป การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับลดค่าเงินหยวน สงครามระหว่างประเทศและการก่อการร้ายในกลุ่มประเทศยุโรป จนถึง ตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรุนแรง การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล การปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาน้ำมัน การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคาร การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น
ปัจจัยภายใน (Internal Factor) คือ ปัจจัยที่มาจากกิจการโดยตรง เช่น การขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ การขายหุ้นเพิ่มทุน การควบรวมกิจการ การซื้อและขายกิจการ การเพิ่มอัตราการก่อหนี้ในกิจการ การปิดบริษัทย่อยที่สร้างผลขาดทุนอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ การได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีเพราะขยายงานไปในนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น
ปัจจัยภายนอก + ปัจจัยภายใน นำไปสู่ผลประกอบการของกิจการในอนาคต นำไปสู่ ราคาหุ้น
กรณีที่ 1 : ปัจจัยภายนอกมีแนวโน้มเป็น + และ ปัจจัยภายในเป็น + มีแนวโน้มจะนำไปสู่ผลประกอบการในอนาคตออกมาดีมาก ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
กรณีที่ 2 : ปัจจัยภายนอกมีแนวโน้มเป็น + และ ปัจจัยภายในเป็น - มีแนวโน้มจะนำไปสู่ผลประกอบการในอนาคตออกมาแย่มาก ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างช้าๆ
กรณีที่ 3 : ปัจจัยภายนอกมีแนวโน้มเป็น - และ ปัจจัยภายในเป็น + มีแนวโน้มจะนำไปสู่ผลประกอบการในอนาคตออกมาดีมาก ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างช้าๆ
กรณีที่ 4 : ปัจจัยภายนอกมีแนวโน้มเป็น - และ ปัจจัยภายในเป็น - มีแนวโน้มจะนำไปสู่ผลประกอบการในอนาคตออกมาแย่มาก ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
สำหรับสองสามปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยเข้าสู่กรณีที่ 4 จึงส่งผลให้ตลาดหุ้นผันผวนและปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง แต่อย่าลืมว่าในภาวะการณ์แบบนี้กลับเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพราะมันจะให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ในระดับที่ยอดเยี่ยมเทียบกับกรณีที่ 1 – 3
เมื่อซื้อหุ้นแล้วในกรณีที่ 4 ก็เฝ้ารอคอยให้กรณีที่ 1 มาถึง เมื่อมันมาถึงแล้วก็ขายหุ้นออกมาทำกำไร เพราะตอนที่ซื้อหุ้นกรณีที่ 4 เราจะซื้อหุ้นได้ราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม หรือที่เรียกว่า Undervalue แต่ตอนกรณีที่ 1 เราจะขายหุ้นได้ราคาสูงกว่ามูลค่ายุติธรรม หรือที่เรียกว่า Overvalue
ตลาดหุ้นจะกำหนดราคาหุ้นโดยอาศัยปัจจัยภายในและภายนอกที่เป็นระยะสั้นเท่านั้นคือไม่เกิน 1 ปี จึงเป็นผลให้มองผลประกอบการไม่เกิน 1 ปี ด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากท่านจินตนาการไปเกินกว่า 1 ปี อาจเป็น 5 ปีข้างหน้าท่านจะเห็นว่าภาพที่แตกต่างจากปัจจุบันเป็นอย่างมาก ท่านจะเห็นเส้นทางสู่การเป็นคนรวยไม่อยากอย่างที่คิด…
ลองนึกย้อนกลับดูนะครับ ว่า 20 ปีที่แล้ว เคยเห็นรถไฟฟ้าหรือไม่ เคยเห็นคอนโดมิเนียมผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดหรือไม่ เคยเห็นห้างสรรพสินค้าที่มีทุกถนนในกรุงเทพหรือไม่ เคยเห็นคนไทยมีรถยนต์ของตนเองมากขนาดนี้หรือไม่ เคยเห็นปั๊มน้ำมันที่มีทำอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าหรือไม่ เคยเห็นที่ไหนๆก็มีโรงแรมและรีสอร์ทให้พักหรือไม่
ลองจินตนาการดูครับว่า 20 ปีข้างหน้า ท่านจะเห็นอะไร….
การจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องใช้สมองทั้งสองด้าน ทั้งด้านเหตุและผล คือ สมองด้านซ้าย และด้านจินตนาการ คือ สมองด้านขวา ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“อย่าเชื่อสิ่งที่ตาเห็น แต่ให้เชื่อสิ่งที่นึกคิดในอนาคตภายใต้สิ่งที่เป็นไปได้ในปัจจุบัน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น