หุ้นเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าในตัวมันเอง เหมือนกับสินทรัพย์ประเภทอื่นในโลกที่มีมูลค่าในตัวมันเอง ดังท่านจะเห็นได้จาก ที่ดิน พันธบัตร ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง อาทิ ทองคำ เงิน และโลหะมีค่าอื่นๆ
แต่หุ้นอาจมีความแตกต่างจากทรัพย์สินประเภทอื่นตรงที่มูลค่าหุ้น หรือ มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value : V) ถูกกำหนดโดยกำไรในอนาคต หรือ เรียกว่าให้ชัดเจนไปเลยก็คือ กำไรสุทธิต่อหุ้นในอนาคต (EPS1)
เมื่อมูลค่าหุ้น (V) มีความเกียวข้องโดยตรงกับกำไรสุทธิต่อหุ้นในอนาคต (EPS1) ดังนั้นเมื่อเราคาดการณ์กำไรสุทธิในอนาคต (EPS1) ได้ เราก็ทราบมูลค่าหุ้น (V) ได้ทันที ซึ่งการคาดการณ์ EPS1 ได้อย่างแม่นยำนั้น ต้องมีความรู้ความเข้าใจธุรกิจเป็นอย่างดี
การจะเข้าใจธุรกิจได้เป็นอย่างดีนั้น ต้องอาศัยการศึกษาลงไปในตัวธุรกิจซึ่งสามารถทำได้อย่างง่ายดายในปัจจุบัน เพราะบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในประเทศไทยต้องเผยแพร่ข้อมูลการประกอบธุรกิจกับตลาดหลักทรัพย์ ที่ www.set.or.th มีรายละเอียดประกอบด้วย รายงานประจำปี (Annual Report) และแบบ 56-1
การอ่าน อ่าน และอ่าน เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดที่จะทำให้ท่านเข้าใจธุรกิจอย่างรวดเร็ว
ขอสรุปเป็นแผนภาพอย่างง่ายดังนี้
อ่
านรายงานประจำปี และ 56-1 ------> ความเข้าใจธุรกิจทั้งด้านความสามารถในการแข่งขันและความเสี่ยง ----> การเห็นอนาคตของกิจการ -------> การกำหนด EPS1 ---------> มูลค่าหุ้น (V) ----------> การตัดสินใจซื้อหุ้นหรือขายหุ้น ------> การทำกำไรซ้ำซาก ---------> การมีอิสรภาพทางการเงิน
การตัดสินใจซื้อหุ้นหรือขายหุ้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อว่าเราทราบว่าราคาหุ้นนั้นหุ้นถูกหรือแพง สามารถวัดได้จากมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (V) นั้นเทียบกับราคาตลาด (P) ในขณะนั้น หาก V มากกว่า P แสดงว่าราคาหุ้นถูก ในทางกลับกันหาก V ต่ำกว่า P แสดงว่าราคาหุ้นแพง แสดงเป็นสมการได้ดังนี้
หาก X เป็นบวก แสดงว่าหุ้นถูก หรือ หุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Undervalued) ควร “ซื้อ”
หาก X เป็นลบ แสดงว่าหุ้นราคาแพง หรือ หุ้นสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Overvalued) ควร “ขาย”
ตัวอย่างเช่น หุ้น ABCD มี V เท่ากับ 10 บาท และ P เท่ากับ 5 บาท ดังนั้น กรณีนี้หุ้น ABCD เป็นหุ้นราคาถูก เพราะ V มากกว่า P เท่ากับ 5 บาท (10 – 5) ดังนั้นสรุปได้ว่าหุ้น ABCD ควรซื้อ เพราะ Undervalued
ต่อมามีการไล่ซื้อหุ้น ABCD ทำราคาเพิ่มขึ้นจาก 5 บาท เป็น 15 บาท ดังนั้นกรณีหุ้น ABCD เป็นหุ้นราคาแพง เพราะ V ต่ำกว่า P เท่ากับ 5 บาท (10 - 15) สรุปได้ว่าหุ้น ABCD หากมีก็ควรขาย เพราะ Overvalued
ปรากฎการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำในตลาดหุ้น ดังนั้นหากเราเป็นนักลงทุนที่มีเหตุผลและมีวินัยในการลงทุน เราต้องซื้อหุ้นตอน Undervalued และเราจะขายหุ้นตอน Overvalued ดังเช่น กรณีของหุ้น ABCD เราซื้อหุ้นที่ราคา 5 บาท และเราขายหุ้นตอน 15 บาท ทำให้เรามีกำไร คือ 10 บาท หรือ คิดเป็นผลตอบแทนถึง 200% จะเห็นว่าเมื่อมันเกิดขึ้นเป็นประจำมันก็นำไปสู่การทำกำไรซ้ำซากได้
เราลองคำนวณหาค่า V โดยวิธีการที่นิยมใช้กัน คือ P/E Ratio ดังนี้
1. เลือกค่า P/E ของอุตสาหกรรมที่เราจะประเมินราคาหุ้น เช่น หุ้น A อยู่ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ สมมติว่าเราตรวจสอบแล้วพบว่าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์มีค่า P/E เท่ากับ 10 เท่า
2. คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นในอนาคต (EPS1) ของหุ้น A โดยใช้ กำไรสุทธิ / จำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว สมมติว่าคำนวณ EPS1 ได้เท่ากับ 5 บาทต่อหุ้น
3. นำค่า P/E ของอุตสาหกรรม x EPS1 ค่าที่ได้คือ V = P/E x EPS1 = 10 x 5 = 50 บาท
ข้อควรระวัง การประเมินโดยใช้ P/E มีข้อด้อยที่ว่าการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นอ้างอิงจากกำไรสุทธิต่อหุ้นเพียงปีเดียว ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในการประเมินมูลค่าหุ้นจึงมีสูงมาก แตกต่างจาก DCF การประเมินมูลค่าหุ้นจะประเมินจากกำไรหลายปีข้างหน้า ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้
การจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องใช้สมองทั้งสองด้าน ทั้งด้านเหตุและผล คือ สมองด้านซ้าย และด้านจินตนาการ คือ สมองด้านขวา ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
แต่หุ้นอาจมีความแตกต่างจากทรัพย์สินประเภทอื่นตรงที่มูลค่าหุ้น หรือ มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value : V) ถูกกำหนดโดยกำไรในอนาคต หรือ เรียกว่าให้ชัดเจนไปเลยก็คือ กำไรสุทธิต่อหุ้นในอนาคต (EPS1)
เมื่อมูลค่าหุ้น (V) มีความเกียวข้องโดยตรงกับกำไรสุทธิต่อหุ้นในอนาคต (EPS1) ดังนั้นเมื่อเราคาดการณ์กำไรสุทธิในอนาคต (EPS1) ได้ เราก็ทราบมูลค่าหุ้น (V) ได้ทันที ซึ่งการคาดการณ์ EPS1 ได้อย่างแม่นยำนั้น ต้องมีความรู้ความเข้าใจธุรกิจเป็นอย่างดี
การจะเข้าใจธุรกิจได้เป็นอย่างดีนั้น ต้องอาศัยการศึกษาลงไปในตัวธุรกิจซึ่งสามารถทำได้อย่างง่ายดายในปัจจุบัน เพราะบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในประเทศไทยต้องเผยแพร่ข้อมูลการประกอบธุรกิจกับตลาดหลักทรัพย์ ที่ www.set.or.th มีรายละเอียดประกอบด้วย รายงานประจำปี (Annual Report) และแบบ 56-1
การอ่าน อ่าน และอ่าน เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดที่จะทำให้ท่านเข้าใจธุรกิจอย่างรวดเร็ว
ขอสรุปเป็นแผนภาพอย่างง่ายดังนี้
อ่
านรายงานประจำปี และ 56-1 ------> ความเข้าใจธุรกิจทั้งด้านความสามารถในการแข่งขันและความเสี่ยง ----> การเห็นอนาคตของกิจการ -------> การกำหนด EPS1 ---------> มูลค่าหุ้น (V) ----------> การตัดสินใจซื้อหุ้นหรือขายหุ้น ------> การทำกำไรซ้ำซาก ---------> การมีอิสรภาพทางการเงิน
การตัดสินใจซื้อหุ้นหรือขายหุ้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อว่าเราทราบว่าราคาหุ้นนั้นหุ้นถูกหรือแพง สามารถวัดได้จากมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (V) นั้นเทียบกับราคาตลาด (P) ในขณะนั้น หาก V มากกว่า P แสดงว่าราคาหุ้นถูก ในทางกลับกันหาก V ต่ำกว่า P แสดงว่าราคาหุ้นแพง แสดงเป็นสมการได้ดังนี้
X = V – P
หาก X เป็นบวก แสดงว่าหุ้นถูก หรือ หุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Undervalued) ควร “ซื้อ”
หาก X เป็นลบ แสดงว่าหุ้นราคาแพง หรือ หุ้นสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Overvalued) ควร “ขาย”
ตัวอย่างเช่น หุ้น ABCD มี V เท่ากับ 10 บาท และ P เท่ากับ 5 บาท ดังนั้น กรณีนี้หุ้น ABCD เป็นหุ้นราคาถูก เพราะ V มากกว่า P เท่ากับ 5 บาท (10 – 5) ดังนั้นสรุปได้ว่าหุ้น ABCD ควรซื้อ เพราะ Undervalued
ต่อมามีการไล่ซื้อหุ้น ABCD ทำราคาเพิ่มขึ้นจาก 5 บาท เป็น 15 บาท ดังนั้นกรณีหุ้น ABCD เป็นหุ้นราคาแพง เพราะ V ต่ำกว่า P เท่ากับ 5 บาท (10 - 15) สรุปได้ว่าหุ้น ABCD หากมีก็ควรขาย เพราะ Overvalued
ปรากฎการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำในตลาดหุ้น ดังนั้นหากเราเป็นนักลงทุนที่มีเหตุผลและมีวินัยในการลงทุน เราต้องซื้อหุ้นตอน Undervalued และเราจะขายหุ้นตอน Overvalued ดังเช่น กรณีของหุ้น ABCD เราซื้อหุ้นที่ราคา 5 บาท และเราขายหุ้นตอน 15 บาท ทำให้เรามีกำไร คือ 10 บาท หรือ คิดเป็นผลตอบแทนถึง 200% จะเห็นว่าเมื่อมันเกิดขึ้นเป็นประจำมันก็นำไปสู่การทำกำไรซ้ำซากได้
เราลองคำนวณหาค่า V โดยวิธีการที่นิยมใช้กัน คือ P/E Ratio ดังนี้
1. เลือกค่า P/E ของอุตสาหกรรมที่เราจะประเมินราคาหุ้น เช่น หุ้น A อยู่ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ สมมติว่าเราตรวจสอบแล้วพบว่าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์มีค่า P/E เท่ากับ 10 เท่า
2. คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นในอนาคต (EPS1) ของหุ้น A โดยใช้ กำไรสุทธิ / จำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว สมมติว่าคำนวณ EPS1 ได้เท่ากับ 5 บาทต่อหุ้น
3. นำค่า P/E ของอุตสาหกรรม x EPS1 ค่าที่ได้คือ V = P/E x EPS1 = 10 x 5 = 50 บาท
ข้อควรระวัง การประเมินโดยใช้ P/E มีข้อด้อยที่ว่าการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นอ้างอิงจากกำไรสุทธิต่อหุ้นเพียงปีเดียว ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในการประเมินมูลค่าหุ้นจึงมีสูงมาก แตกต่างจาก DCF การประเมินมูลค่าหุ้นจะประเมินจากกำไรหลายปีข้างหน้า ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้
การจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องใช้สมองทั้งสองด้าน ทั้งด้านเหตุและผล คือ สมองด้านซ้าย และด้านจินตนาการ คือ สมองด้านขวา ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“อย่าเชื่อสิ่งที่ตาเห็น แต่ให้เชื่อสิ่งที่นึกคิดในอนาคตภายใต้สิ่งที่เป็นไปได้ในปัจจุบัน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น