การลงทุนในหุ้นแบบใช้วิธีการวิเคราะห์กิจการ หรือ ที่เราเรียกนักลงทุนประเภทนี้ว่า “นักลงทุนปัจจัยพื้นฐาน” มีปรัชญาในการลงทุนก็คือต้องการรักษาเงินต้นให้ได้ตลอดระยะเวลาการลงทุน โดยเขามีแนวคิดว่า หากรักษาเงินต้น หรือ เงินลงทุนได้ จะมีกำไรจากจาการลงทุนเอง ซึ่งจะเห็นว่า การลงทุนแบบนี้มีความระมัดระวังสูง (Conservative) มากในการลงทุน
เครื่องมือในการป้องกันการขาดทุน จะใช้ การอ่านค่าและวิเคราะห์งบการเงินเป็นหลัก ซึ่งสามารถจะหาข้อมูลงบการเงินได้จากเว็บไซด์ตลาดหลักทรัพย์ www.set.or.th โดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะมีการเผยแพร่งบการเงินของตนเอง ประกอบด้วย งบกำไรขาดทุน (Income Statement) งบแสดงฐานะการเงิน (Financial Position Statement) และงบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) เป็นประจำทั้งรายไตรมาส รายครึ่งปี ราย 9 เดือน และรายปี
งบกำไรขาดทุน ประกอบด้วย รายได้ และค่าใช้จ่าย เมื่อ รายได้ มากกว่า ค่าใช้จ่าย ก็จะเป็นกำไร (Net Profit) ในทางกลับกัน เมื่อ รายได้ น้อยกว่า ค่าใช้จ่าย ก็จะเป็นขาดทุน (Net Loss)
การที่บริษัทมีกำไรจะทำให้ ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน บริษัทมีผลขาดทุนจะทำให้ ราคาหุ้นปรับตัวลดลง ซึ่งสามารถเขียนความสัมพันธ์ได้ดังนี้
กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) = กำไรสุทธิ
จำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว
เนื่องจากราคาหุ้นมีความสอดคล้องกับกำไรสุทธิต่อหุ้น จึงทำให้เกิดอัตราส่วนทางการเงินที่เราเรียกกันว่า P/E Ratio ขึ้นมา ซึ่งอัตราส่วนนี้ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่นักลงทุนทั่วโลก โดยมีสมการดังนี้
PE = ราคาหุ้น
กำไรสุทธิต่อหุ้น
ราคาหุ้นใช้ ณ ราคาปิดล่าสุด ส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้น เป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นรอบ 12 เดือนล่าสุด และควรปรับกำไรสุทธิต่อหุ้น นี้ให้เป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นตามปรกติ (Normalized Net Profit) นั่นคือ ให้ปรับรายการพิเศษที่เป็นเหตุการณ์ครั้งเดียวออกให้หมด เช่น กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ กำไรจากการขายทรัพย์สินในกิจการ ขาดทุนจากการตั้งด้อยค่าทรัพย์สิน เป็นต้น
ตัวอย่าง หุ้น A มี ราคาปิดล่าสุด ณ วันที่ 5 เมษายน 2558 เท่ากับ 20 บาท และมีผลกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ไตรมาสที่ 1 ปี 2558 เท่ากับ 0.4 บาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ไตรมาสที่ 2 – 4 ปี 2557 เท่ากับ 1.6 บาท
ดังนั้นกำไรสุทธิต่อหุ้นรอบ 12 เดือนล่าสุดจะเท่ากับ 2.0 บาท มาจาก ไตรมาสที่ 2-4 ปี 2557 คือ 1.6 บาท รวมกับ ไตรมาสที่ 1 ปี 2558 คือ 0.4 บาท
PE = ราคาหุ้น = 20 = 10
กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.0
โดยปรกตินักลงทุนทั่วโลกมองแทบเหมือนกันว่าหุ้นที่มี PE สูง จะมีราคาแพงกว่าหุ้นที่มี PE ต่ำ ทั้งนี้เพราะหากเทียบที่กำไรสุทธิต่อหุ้น 1 บาท เท่ากัน พบว่าหุ้นที่มี PE สูงนักลงทุนต้องจ่ายมากกว่าหุ้นที่มี PE ต่ำ
หากมองตามหลักคณิตศาสตร์หุ้น PE สูงย่อมแพงกว่าหุ้นที่มี PE ต่ำอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามหากมองอย่างลึกซึ้งอาจจะพบคำตอบที่เปลี่ยนไปอย่างมาก เช่นมองข้ามไปยังอนาคตในอีกหลายปีข้างหน้าอาจจะพบว่า หุ้นที่มี PE สูงอาจจะถูกกว่าหุ้นที่มี PE ต่ำ ได้ เนื่องจากหุ้น PE สูงมีการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ค่า PE ของหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่หุ้น PE ต่ำไม่มีการเติบโตเลย ทำให้ค่า PE เท่าเดิม ซึ่งสุดท้ายแล้วจะพบว่า
การจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องใช้สมองทั้งสองด้าน ทั้งด้านเหตุและผล คือ สมองด้านซ้าย และด้านจินตนาการ คือ สมองด้านขวา ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“อย่าเชื่อสิ่งที่ตาเห็น แต่ให้เชื่อสิ่งที่นึกคิดในอนาคตภายใต้สิ่งที่เป็นไปได้ในปัจจุบัน”
เครื่องมือในการป้องกันการขาดทุน จะใช้ การอ่านค่าและวิเคราะห์งบการเงินเป็นหลัก ซึ่งสามารถจะหาข้อมูลงบการเงินได้จากเว็บไซด์ตลาดหลักทรัพย์ www.set.or.th โดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะมีการเผยแพร่งบการเงินของตนเอง ประกอบด้วย งบกำไรขาดทุน (Income Statement) งบแสดงฐานะการเงิน (Financial Position Statement) และงบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) เป็นประจำทั้งรายไตรมาส รายครึ่งปี ราย 9 เดือน และรายปี
งบกำไรขาดทุน ประกอบด้วย รายได้ และค่าใช้จ่าย เมื่อ รายได้ มากกว่า ค่าใช้จ่าย ก็จะเป็นกำไร (Net Profit) ในทางกลับกัน เมื่อ รายได้ น้อยกว่า ค่าใช้จ่าย ก็จะเป็นขาดทุน (Net Loss)
การที่บริษัทมีกำไรจะทำให้ ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน บริษัทมีผลขาดทุนจะทำให้ ราคาหุ้นปรับตัวลดลง ซึ่งสามารถเขียนความสัมพันธ์ได้ดังนี้
ราคาหุ้น (P) แปรผันโดยตรง กำไรต่อหุ้น (EPS)
กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) = กำไรสุทธิ
จำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว
เนื่องจากราคาหุ้นมีความสอดคล้องกับกำไรสุทธิต่อหุ้น จึงทำให้เกิดอัตราส่วนทางการเงินที่เราเรียกกันว่า P/E Ratio ขึ้นมา ซึ่งอัตราส่วนนี้ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่นักลงทุนทั่วโลก โดยมีสมการดังนี้
PE = ราคาหุ้น
กำไรสุทธิต่อหุ้น
ราคาหุ้นใช้ ณ ราคาปิดล่าสุด ส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้น เป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นรอบ 12 เดือนล่าสุด และควรปรับกำไรสุทธิต่อหุ้น นี้ให้เป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นตามปรกติ (Normalized Net Profit) นั่นคือ ให้ปรับรายการพิเศษที่เป็นเหตุการณ์ครั้งเดียวออกให้หมด เช่น กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ กำไรจากการขายทรัพย์สินในกิจการ ขาดทุนจากการตั้งด้อยค่าทรัพย์สิน เป็นต้น
ตัวอย่าง หุ้น A มี ราคาปิดล่าสุด ณ วันที่ 5 เมษายน 2558 เท่ากับ 20 บาท และมีผลกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ไตรมาสที่ 1 ปี 2558 เท่ากับ 0.4 บาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ไตรมาสที่ 2 – 4 ปี 2557 เท่ากับ 1.6 บาท
ดังนั้นกำไรสุทธิต่อหุ้นรอบ 12 เดือนล่าสุดจะเท่ากับ 2.0 บาท มาจาก ไตรมาสที่ 2-4 ปี 2557 คือ 1.6 บาท รวมกับ ไตรมาสที่ 1 ปี 2558 คือ 0.4 บาท
PE = ราคาหุ้น = 20 = 10
กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.0
โดยปรกตินักลงทุนทั่วโลกมองแทบเหมือนกันว่าหุ้นที่มี PE สูง จะมีราคาแพงกว่าหุ้นที่มี PE ต่ำ ทั้งนี้เพราะหากเทียบที่กำไรสุทธิต่อหุ้น 1 บาท เท่ากัน พบว่าหุ้นที่มี PE สูงนักลงทุนต้องจ่ายมากกว่าหุ้นที่มี PE ต่ำ
หากมองตามหลักคณิตศาสตร์หุ้น PE สูงย่อมแพงกว่าหุ้นที่มี PE ต่ำอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามหากมองอย่างลึกซึ้งอาจจะพบคำตอบที่เปลี่ยนไปอย่างมาก เช่นมองข้ามไปยังอนาคตในอีกหลายปีข้างหน้าอาจจะพบว่า หุ้นที่มี PE สูงอาจจะถูกกว่าหุ้นที่มี PE ต่ำ ได้ เนื่องจากหุ้น PE สูงมีการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ค่า PE ของหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่หุ้น PE ต่ำไม่มีการเติบโตเลย ทำให้ค่า PE เท่าเดิม ซึ่งสุดท้ายแล้วจะพบว่า
หุ้น PE สูง จะกลับเป็น PE ต่ำ ในขณะที่ PE ต่ำจะกลับเป็น PE สูง
การจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องใช้สมองทั้งสองด้าน ทั้งด้านเหตุและผล คือ สมองด้านซ้าย และด้านจินตนาการ คือ สมองด้านขวา ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“อย่าเชื่อสิ่งที่ตาเห็น แต่ให้เชื่อสิ่งที่นึกคิดในอนาคตภายใต้สิ่งที่เป็นไปได้ในปัจจุบัน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น