มูลค่าหุ้นตามแฟรนด์ไชด์ คือ มูลค่าแฟรนด์ไชด์ของธุรกิจ ซึ่งหมายถึง ธุรกิจนั้นมีความได้เปรียบในการแข่งขันเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมของตนเอง โดยความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) ประกอบด้วยรายละเอียดหลักๆดังนี้
1) สัมปทาน หรือ ใบอนุญาตจากรัฐ ส่งผลให้เกิดการกีดกันการแข่งขันทางการค้าที่รุนแรง เพราะผู้ได้สัมปทานจะมีจำนวนจำกัด และสามารถกำหนดราคากันได้เอง
2) ส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ขนาดใหญ่ ส่งผลให้เกิดการประหยัดขนาดในธุรกิจนำไปสู่ต้นสินค้าและบริการที่ต่ำ กล่าวคือ ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงมากจะมีอำนาจในการต่อรองซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในราคาที่ต่ำกว่าธุรกิจขนาดเล็ก
3) ความต้องการสินค้าของผู้บริโภคที่ยั่งยืน กล่าวคือ สินค้านั้นมีแบรนด์ที่่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค ซึ่งส่งผลให้สินค้านั้นเกิดการซื้อซ้ำๆในอนาคต
ด้วยการที่ธุรกิจมีแฟรนไชด์ย่อมส่งผลให้มีความธุรกิจสามารถทำกำไรได้สูงกว่าอุตสาหกรรมของตนเอง ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้จากงบการเงินที่ผ่านมา โดยใช้อัตราส่วนทางการเงินดังต่อไปนี้
ผลตอบแทนของเงินลงทุน (ROCE) = กำไรจากการดำเนินงาน x 100%
เงินลงทุนที่ต้องการ
กำไรจากการดำเนินงาน = ขาย - ต้นทุนขาย - คชจ. ขายและบริหาร
เงินลงทุนที่ต้องการ = สินทรัพย์รวม - หนี้สินที่ไม่มีดอกเบี้ย
* ขาย ต้นทุนขาย และคชจ. ขายและบริหาร สามารถนำตัวเลขจากงบกำไรขาดทุน
* สินทรัพย์รวม และหนี้สินไม่มีดอกเบี้ย สามารถนำตัวเลขมาจากงบแสดงฐานะการเงิน
* ผลตอบแทนของเงินลงทุนต้องคิดเป็นรายปี ดังนั้น หากกำไรจากการดำเนินงานนำมาจากงบการเงินไตรมาสที่ 1 ต้อง คูณด้วย 4 เพื่อเป็นรายปี หากนำมาจากงบการเงิน 6 เดือน ต้องคูณด้วย 2 และหากเป็นงบการเงิน 9 เดือน ต้องคูณด้วย 4/3
ดังน้้นการพิจารณาว่าธุรกิจมีแฟรนด์ไชด์หรือไม่ ให้คำนวณหา ROCE ย้อนหลังประมาณ 5 ปี หากมี ROCE สูงกว่าอุตสาหกรรม และมีความสม่ำเสมอพอสมควร ย่อมแสดงว่าธุรกิจมีแฟรนไชด์ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ราคาหุ้นควรสูงกว่ามูลค่าตามบัญชี คือ P/BV > 1.0 หากพบว่าเมื่อใดราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี (BVPS) แสดงว่าหุ้นเข้าข่าย undervalued ซึ่งเป็นโอกาสในการเข้าไปซื้อ
สมมติว่า อุตสาหกรรมอาหาร มี ROCE ของอุตสาหกรรมเท่ากับ 12% ต่อปี แต่ในขณะที่บริษัท ก ที่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหาร มี ROCE เท่ากับ 18% ต่อปี แสดงว่า บริษัท ก มีแฟรนไชด์ธุรกิจ เพราะว่ามี ROCE = 18% มากกว่า อุตสาหกรรมฯที่ 12% หากศึกษาลงไปในธุรกิจพบว่า บริษัท ก มีแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับของลูกค้าและมีจำนวนสาขาเป็นจำนวนมากครอบคลุมไปยังพื้นที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
ดังนั้นหากเราเป็นนักลงทุนควรติดตามหุ้น ก ต่อไปว่ามีราคาหุ้นต่่ำกว่า BVPS หรือไม่ หากต่ำกว่าแล้วแสดงว่าเป็นโอกาสในการเข้าไปซื้อหุ้นแล้ว ซึ่งเป็นไปตามหลักการที่ว่า ซื้อถูก และขายแพงในอนาคต
1) สัมปทาน หรือ ใบอนุญาตจากรัฐ ส่งผลให้เกิดการกีดกันการแข่งขันทางการค้าที่รุนแรง เพราะผู้ได้สัมปทานจะมีจำนวนจำกัด และสามารถกำหนดราคากันได้เอง
2) ส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ขนาดใหญ่ ส่งผลให้เกิดการประหยัดขนาดในธุรกิจนำไปสู่ต้นสินค้าและบริการที่ต่ำ กล่าวคือ ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงมากจะมีอำนาจในการต่อรองซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในราคาที่ต่ำกว่าธุรกิจขนาดเล็ก
3) ความต้องการสินค้าของผู้บริโภคที่ยั่งยืน กล่าวคือ สินค้านั้นมีแบรนด์ที่่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค ซึ่งส่งผลให้สินค้านั้นเกิดการซื้อซ้ำๆในอนาคต
ด้วยการที่ธุรกิจมีแฟรนไชด์ย่อมส่งผลให้มีความธุรกิจสามารถทำกำไรได้สูงกว่าอุตสาหกรรมของตนเอง ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้จากงบการเงินที่ผ่านมา โดยใช้อัตราส่วนทางการเงินดังต่อไปนี้
ผลตอบแทนของเงินลงทุน (ROCE) = กำไรจากการดำเนินงาน x 100%
เงินลงทุนที่ต้องการ
กำไรจากการดำเนินงาน = ขาย - ต้นทุนขาย - คชจ. ขายและบริหาร
เงินลงทุนที่ต้องการ = สินทรัพย์รวม - หนี้สินที่ไม่มีดอกเบี้ย
* ขาย ต้นทุนขาย และคชจ. ขายและบริหาร สามารถนำตัวเลขจากงบกำไรขาดทุน
* สินทรัพย์รวม และหนี้สินไม่มีดอกเบี้ย สามารถนำตัวเลขมาจากงบแสดงฐานะการเงิน
* ผลตอบแทนของเงินลงทุนต้องคิดเป็นรายปี ดังนั้น หากกำไรจากการดำเนินงานนำมาจากงบการเงินไตรมาสที่ 1 ต้อง คูณด้วย 4 เพื่อเป็นรายปี หากนำมาจากงบการเงิน 6 เดือน ต้องคูณด้วย 2 และหากเป็นงบการเงิน 9 เดือน ต้องคูณด้วย 4/3
ดังน้้นการพิจารณาว่าธุรกิจมีแฟรนด์ไชด์หรือไม่ ให้คำนวณหา ROCE ย้อนหลังประมาณ 5 ปี หากมี ROCE สูงกว่าอุตสาหกรรม และมีความสม่ำเสมอพอสมควร ย่อมแสดงว่าธุรกิจมีแฟรนไชด์ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ราคาหุ้นควรสูงกว่ามูลค่าตามบัญชี คือ P/BV > 1.0 หากพบว่าเมื่อใดราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี (BVPS) แสดงว่าหุ้นเข้าข่าย undervalued ซึ่งเป็นโอกาสในการเข้าไปซื้อ
สมมติว่า อุตสาหกรรมอาหาร มี ROCE ของอุตสาหกรรมเท่ากับ 12% ต่อปี แต่ในขณะที่บริษัท ก ที่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหาร มี ROCE เท่ากับ 18% ต่อปี แสดงว่า บริษัท ก มีแฟรนไชด์ธุรกิจ เพราะว่ามี ROCE = 18% มากกว่า อุตสาหกรรมฯที่ 12% หากศึกษาลงไปในธุรกิจพบว่า บริษัท ก มีแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับของลูกค้าและมีจำนวนสาขาเป็นจำนวนมากครอบคลุมไปยังพื้นที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
ดังนั้นหากเราเป็นนักลงทุนควรติดตามหุ้น ก ต่อไปว่ามีราคาหุ้นต่่ำกว่า BVPS หรือไม่ หากต่ำกว่าแล้วแสดงว่าเป็นโอกาสในการเข้าไปซื้อหุ้นแล้ว ซึ่งเป็นไปตามหลักการที่ว่า ซื้อถูก และขายแพงในอนาคต
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น