ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

หลักเกณฑ์การวัดหุ้นถูก...แพง

การวัดว่าหุ้นถูกหรือแพง สามารถวัดได้จากมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Intrinsic Value : IV) นั้นเทียบกับราคาตลาด (Market Price : MP) ในขณะนั้น หาก IV มากกว่า MP แสดงว่าราคาหุ้นถูก ในทางกลับกันหาก IV ต่ำกว่า MP แสดงว่าราคาหุ้นแพง เขียนเป็นสมการได้ดังนี้

X = IV – MP

หาก X เป็นบวก แสดงว่าหุ้นถูก หรือ หุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Undervalued) ควร “ซื้อ”

หาก X เป็นลบ แสดงว่าหุ้นราคาแพง หรือ หุ้นสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Overvalued) ควร “ขาย”

ตัวอย่างเช่น หุ้น ABC มี IV เท่ากับ 10 บาท และ MP เท่ากับ 5 บาท ดังนั้น กรณีนี้หุ้น ABC เป็นหุ้นราคาถูก เพราะ IV มากกว่า MP เท่ากับ 5 บาท (10 – 5) ดังนั้นสรุปได้ว่าหุ้น ABC ควรซื้อ

แต่สมมติว่าต่อมาหุ้น ABC ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 15 บาท ดังนั้นกรณีหุ้น ABC เป็นหุ้นราคาแพง เพราะ IV ต่ำกว่า MP เท่ากับ 5 บาท (5-10) สรุปได้ว่าหุ้น ABC หากมีควรขาย แต่หากเป็นนักเก็งกำไรก็ยืมหุ้นมาขาย (Short) และรอให้หุ้นตกลงมาแล้วซื้อหุ้นคืน

การคำนวณหา IV สามารถทำได้โดยการคำนวณโดยใช้แบบจำลองกระแสเงินสดส่วนลด (Discounted Cash Flow : DCF) โดยรายละเอียดท่านสามารถอ่านได้ในหนังสือ "เลือกหุ้น เล่นหุ้น ประเมินราคาหุ้น ด้วยตนเอง" ส่วนแบบตัวคูณ (Multiple Approach) สามารถคำนวณได้ดังนี้

1. เลือกค่า P/E ของอุตสาหกรรมที่เราจะประเมินราคาหุ้น เช่น หุ้น A อยู่ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ สมมติว่าเราตรวจสอบแล้วพบว่าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์มีค่า P/E เท่ากับ 10 เท่า

2. คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของหุ้น A โดยใช้ กำไรสุทธิ / จำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว สมมติว่าคำนวณ EPS ได้เท่ากับ 5 บาท

3. นำค่า P/E ของอุตสาหกรรม x EPS ค่าที่ได้คือ IV = P/E x EPS = 10 x 5 = 50 บาท

ข้อควรระวัง : การประเมินโดยใช้ P/E มีข้อด้อยที่ว่าการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นอ้างอิงจากกำไรสุทธิต่อหุ้นเพียงปีเดียว ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในการประเมินมูลค่าหุ้นจึงมีสูงมาก แตกต่างจาก DCF การประเมินมูลค่าหุ้นจะประเมินจากกำไรหลายปีข้างหน้า ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้   

หากท่านสนใจหนังสือ เลือกหุ้น เล่นหุ้น  สามารถเข้าไปดูได้ที่ www.mebmarket.com







ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระบวนการลงทุนแนว VI

ควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดี

ถาม : ดิฉันกำลังคิดจะทำธุรกิจ อยากทราบว่าควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดีค่ะ ตอบ : คุณต้องประมาณเงินลงทุนทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ (1) ประมาณการเงินลงทุนสินทรัพย์ถาวร (2) ประมาณการเงินหมุนเวียนสุทธิ (Net Working Capital)  หลังจากนั้นคุณก็นำรายการที่ (1) บวกกับรายการที่ (2) แล้ว ผลรวมที่ได้คือ เงินลงทุนทั้งหมด ในกรณีที่คุณไม่ต้องการกู้เงิน เงินลงทุนทั้งหมดจะเป็นทุนที่ชำระแล้ว ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้ว่า ผู้ถือหุ้นต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 25% ของทุนจดทะเบียน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณจดทะเบียน 1.0 ล้านบาท คุณต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 250,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 75% ถือว่าเป็นภาระผูกพันของผู้ถือหุ้นที่มีต่อบริษัท ดังนั้นในกรณีที่บริษัทดำเนินธุรกิจจนเจ๊ง เจ้าหนี้สามารถใช้สิทธิบังคับให้ผู้ถือหุ้นชำระค่าหุ้นคงเหลืออีก 75% ซึ่งหมายความว่า หุ้นที่ชำระไม่ครบ 75% มีสถานะเป็นหนี้ของผู้ถือหุ้นนั่นเอง ตัวอย่าง การประมาณงินลงทุน เช่น บริษัท ABCD จำกัด มีสมมติฐานว่าปีหน้าจะมียอดขายประมาณ 10 ล้านบาท ต้นทุนขายประมาณ 7.5 ล้านบาท และงบประมาณการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร...

ช่วงเวลาในการซื้อขายหุ้น (Investment Timing)

ราคาหุ้นในตลาดหุ้น (Market Price) ถูกกำหนดมาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้ ปัจจัยภายนอก (External Factor) คือ ปัจจัยที่ไม่ได้มาจากกิจการโดยตรงซึ่งเป็นปัจจัยที่กิจการไม่สามารถควบคุมได้ เช่น กระแสเงินเงินทุนไหลออกและไหลเข้า (Fund Flow) วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางของสหรัฐฯและยุโรป การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับลดค่าเงินหยวน สงครามระหว่างประเทศและการก่อการร้ายในกลุ่มประเทศยุโรป จนถึง ตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรุนแรง การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล การปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาน้ำมัน การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคาร การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น ปัจจัยภายใน (Internal Factor) คือ ปัจจัยที่มาจากกิจการโดยตรง เช่น การขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ การขายหุ้นเพิ่มทุน การควบรวมกิจการ การซื้อและขายกิจการ การเพิ่มอัตราการก่อหนี้ในกิจการ การปิดบริษัทย่อย...

ต้นทุนเงินทุน (WACC)

ต้นทุนเงินทุน (Cost of Capital) หรือ ที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไป คือ WACC (Weighted Average Cost of Capital) หมายถึง ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของเงินทุน  มีประโยชน์เพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่ควรลงทุนในโครงการใดบ้างของบริษัท เช่น คุ้มค่าหรือไม่ที่จะลงทุนในโครงการใหม่ของบริษัท เป็นต้น อีกทั้ง WACC นี้ยังสามารถใช้ในการคำนวณหามูลค่าของกิจการ (Enterprise Value) และมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Intrinsic Value of Stock) ได้อีกด้วย WACC ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ประเภท คือ :- ประเภทที่ 1 ต้นทุนจากการเงินกู้ยืม หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (kd)   ประเภทที่ 2 ต้นทุนจากเงินทุนของผู้ถือหุ้น  หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (ke) เพื่อความง่ายในการทำความเข้าใจ WACC ขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้ บริษัท A มีเงินทุนประกอบด้วย เงินกู้จากเจ้าหนี้ที่มีดอกเบี้ย 100 ล้านบาท และเงินทุนจากผู้ถือหุ้น 100 ล้านบาท ดังนั้นเงินทุนทั้งหมดของกิจการ A คือ เงินกู้จากเจ้าหนี้ฯ + เงินทุนจากผู้ถือหุ้น = 100 + 100 ล้านบาท เท่ากับ 200 ล...

ควรตั้งเป้ายอดขายขั้นต่ำเท่าไหร่

ถาม : ตอนนี้ผมทำธุรกิจส่วนตัว และต้องการตั้งเป้าหมายการขายให้กับฝ่ายขาย อาจารย์พอจะมีวิธีที่ใช้ประมาณการขายหรือเปล่าครับ ตอบ : การตั้งเป้าหมายในการขายให้กับฝ่ายขาย เราสามารถคำนวณหาได้จากจุดคุ้มทุนขาย (Break-Even point of Sales) คือ ยอดขายที่ทำไม่มีผลกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิ หรือ ยอดขายที่พอดีกับค่าใช้จ่ายของกิจการ หรืออีกนัยหนึ่ง คือยอดขายขั้นต่ำที่ต้องให้กับฝ่ายขาย โดยมีสูตรดังนี้                                              จุดคุ้มทุนขาย  =   ค่าใช้จ่ายคงที่                                                  ...