ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Beta หุ้น

ค่า Beta หุ้น เป็นการวัดความเสี่ยงของหุ้นเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ ขอขยายความดังนี้

หุ้น A ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยมีค่า Beta เท่ากับ 1.0 หมายถึง ราคาหุ้น A จะเคลื่อนไหวเท่ากับการเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย หรือ เท่ากับ SET INDEX

ตัวอย่างเช่น หุ้น A มี Beta เท่ากับ 1.0 ดังนั้นหาก SET INDEX เพิ่มขึ้น 10% ราคาหุ้นต้องเพิ่มขึ้น 10% เท่ากัน เป็นต้น ในทำนองเดียวกัน หาก SET INDEX ลดลง 10% ราคาหุ้นต้องลดลง 10% เท่ากัน

หุ้น B ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยมีค่า Beta เท่ากับ 2.0 หมายถึง ราคาหุ้น B จะเคลื่อนไหวเป็น 2 เท่าของการเคลื่อนไหว SET INDEX

ตัวอย่างเช่น หุ้น B มี Beta เท่ากับ 2.0 ดังนั้นหาก SET INDEX เพิ่มขึ้น 10% ราคาหุ้นต้องเพิ่มขึ้น 20% เป็นต้น ในทำนองเดียวกัน หาก SET INDEX ลดลง 10% ราคาหุ้นต้องลดลง 20%

หุ้น C ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยมีค่า Beta เท่ากับ 0.5 หมายถึง ราคาหุ้น B จะเคลื่อนไหวเป็นครึ่งหนึ่งของการเคลื่อนไหว SET INDEX

ตัวอย่างเช่น หุ้น C  มี Beta เท่ากับ 0.5 ดังนั้นหาก SET INDEX เพิ่มขึ้น 10% ราคาหุ้นต้องเพิ่มขึ้น 5% เป็นต้น ในทำนองเดียวกัน หาก SET INDEX ลดลง 10% ราคาหุ้นต้องลดลง 5%

จากตัวอย่างข้างต้นทำให้สามารถกำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนในหุ้นได้ คือ หากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและภาวะตลาดเป็นบวก เราต้องเลือกหุ้นที่มี  Beta สูง เพราะตลาดมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่หุ้นจะปรับตัวขึ้นสูงกว่า ในทำนองเดียวกัน หากสภาวะเศรษฐกิจและภาวะตลาดเป็นลบ เราต้องต้องเลือกหุ้นที่มี Beta ต่ำ เพราะตลาดมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ในขณะที่หุ้นจะปรับตัวลงต่ำกว่า

เหตุผลที่ยังคงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นแม้ในภาวะที่ตลาดเป็นลบเนื่องจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ให้อัตราผลตอบแทนสูงสุดเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ซึ่งท่านสามารถหาข้อมูลอ้างอิงได้จากผลงานวิจัยที่เผยแพร่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

อีกนัยหนึ่งการทึ่ตลาดเป็นลบสิ่งที่จะได้จากหุ้นก็คืออัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่เพิ่มสูงขึ้น และกำไรจากราคาหุ้น (Capital Gain) จากการฟิ้นตัวของตลาดในเวลาต่อมา หลังจากฝนตกหนักฟ้าจะกลับสดใสอีกครั้ง และคงเป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปตลอดกาล

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระบวนการลงทุนแนว VI

ควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดี

ถาม : ดิฉันกำลังคิดจะทำธุรกิจ อยากทราบว่าควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดีค่ะ ตอบ : คุณต้องประมาณเงินลงทุนทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ (1) ประมาณการเงินลงทุนสินทรัพย์ถาวร (2) ประมาณการเงินหมุนเวียนสุทธิ (Net Working Capital)  หลังจากนั้นคุณก็นำรายการที่ (1) บวกกับรายการที่ (2) แล้ว ผลรวมที่ได้คือ เงินลงทุนทั้งหมด ในกรณีที่คุณไม่ต้องการกู้เงิน เงินลงทุนทั้งหมดจะเป็นทุนที่ชำระแล้ว ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้ว่า ผู้ถือหุ้นต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 25% ของทุนจดทะเบียน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณจดทะเบียน 1.0 ล้านบาท คุณต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 250,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 75% ถือว่าเป็นภาระผูกพันของผู้ถือหุ้นที่มีต่อบริษัท ดังนั้นในกรณีที่บริษัทดำเนินธุรกิจจนเจ๊ง เจ้าหนี้สามารถใช้สิทธิบังคับให้ผู้ถือหุ้นชำระค่าหุ้นคงเหลืออีก 75% ซึ่งหมายความว่า หุ้นที่ชำระไม่ครบ 75% มีสถานะเป็นหนี้ของผู้ถือหุ้นนั่นเอง ตัวอย่าง การประมาณงินลงทุน เช่น บริษัท ABCD จำกัด มีสมมติฐานว่าปีหน้าจะมียอดขายประมาณ 10 ล้านบาท ต้นทุนขายประมาณ 7.5 ล้านบาท และงบประมาณการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร...

ช่วงเวลาในการซื้อขายหุ้น (Investment Timing)

ราคาหุ้นในตลาดหุ้น (Market Price) ถูกกำหนดมาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้ ปัจจัยภายนอก (External Factor) คือ ปัจจัยที่ไม่ได้มาจากกิจการโดยตรงซึ่งเป็นปัจจัยที่กิจการไม่สามารถควบคุมได้ เช่น กระแสเงินเงินทุนไหลออกและไหลเข้า (Fund Flow) วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางของสหรัฐฯและยุโรป การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับลดค่าเงินหยวน สงครามระหว่างประเทศและการก่อการร้ายในกลุ่มประเทศยุโรป จนถึง ตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรุนแรง การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล การปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาน้ำมัน การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคาร การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น ปัจจัยภายใน (Internal Factor) คือ ปัจจัยที่มาจากกิจการโดยตรง เช่น การขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ การขายหุ้นเพิ่มทุน การควบรวมกิจการ การซื้อและขายกิจการ การเพิ่มอัตราการก่อหนี้ในกิจการ การปิดบริษัทย่อย...

ต้นทุนเงินทุน (WACC)

ต้นทุนเงินทุน (Cost of Capital) หรือ ที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไป คือ WACC (Weighted Average Cost of Capital) หมายถึง ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของเงินทุน  มีประโยชน์เพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่ควรลงทุนในโครงการใดบ้างของบริษัท เช่น คุ้มค่าหรือไม่ที่จะลงทุนในโครงการใหม่ของบริษัท เป็นต้น อีกทั้ง WACC นี้ยังสามารถใช้ในการคำนวณหามูลค่าของกิจการ (Enterprise Value) และมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Intrinsic Value of Stock) ได้อีกด้วย WACC ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ประเภท คือ :- ประเภทที่ 1 ต้นทุนจากการเงินกู้ยืม หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (kd)   ประเภทที่ 2 ต้นทุนจากเงินทุนของผู้ถือหุ้น  หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (ke) เพื่อความง่ายในการทำความเข้าใจ WACC ขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้ บริษัท A มีเงินทุนประกอบด้วย เงินกู้จากเจ้าหนี้ที่มีดอกเบี้ย 100 ล้านบาท และเงินทุนจากผู้ถือหุ้น 100 ล้านบาท ดังนั้นเงินทุนทั้งหมดของกิจการ A คือ เงินกู้จากเจ้าหนี้ฯ + เงินทุนจากผู้ถือหุ้น = 100 + 100 ล้านบาท เท่ากับ 200 ล...

ควรตั้งเป้ายอดขายขั้นต่ำเท่าไหร่

ถาม : ตอนนี้ผมทำธุรกิจส่วนตัว และต้องการตั้งเป้าหมายการขายให้กับฝ่ายขาย อาจารย์พอจะมีวิธีที่ใช้ประมาณการขายหรือเปล่าครับ ตอบ : การตั้งเป้าหมายในการขายให้กับฝ่ายขาย เราสามารถคำนวณหาได้จากจุดคุ้มทุนขาย (Break-Even point of Sales) คือ ยอดขายที่ทำไม่มีผลกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิ หรือ ยอดขายที่พอดีกับค่าใช้จ่ายของกิจการ หรืออีกนัยหนึ่ง คือยอดขายขั้นต่ำที่ต้องให้กับฝ่ายขาย โดยมีสูตรดังนี้                                              จุดคุ้มทุนขาย  =   ค่าใช้จ่ายคงที่                                                  ...