ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มีแต่ได้กับได้ ... หุ้นปันผล

หุ้นปันผล คือ หุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลามากกว่า 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนถึงธุรกิจมีความสามารถในการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอจึงสามารถนำกำไรส่วนหนึ่งมาจ่ายปันผล และเหลือกำไรอีกส่วนหนึ่งเอาไว้ขยายกิจการเพื่อสร้างการเติบโตของรายได้และกำไร และส่งผลให้การปันผลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต

สมการต่อไปนี้จะนำไปใช้อ้างอิงในตัวอย่างข้างล่าง

              กำไรสุทธิ = เงินปันผล + กำไรสุทธิคงเหลือ

              มูลค่าหุ้นตามบัญชี = ทุนที่ชำระแล้ว + กำไรสะสม + กำไรสุทธิคงเหลือ

              อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล = เงินปันผล x 100% / ราคาหุ้น

ตัวอย่าง บริษัท A มีรายได้จากการขายต่อปี 1,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิต่อปี เท่ากับ 100  ล้านบาท และมีจำนวนหุ้น 100 ล้านหุ้น ดังนั้น บริษัท A จะมีกำไรสุทธิต่อหุ้น  (EPS) เท่ากับ 1.0 บาท (100/100) และบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลเท่ากับ 50% ของกำไรสุทธิ จึงทำให้บริษัทฯจ่ายเงินปันผลเท่ากับ 50 ล้านบาท (100x50%) หรือ 0.5 บาทต่อหุ้น ดังนั้นบริษัทฯจะมีเงินคงเหลือหลังจ่ายปันผลเท่ากับ 50 ล้านบาท (100-50) หรือ 0.5 บาทต่อหุ้น ซึ่งบริษัทฯจะนำเงินคงเหลือ 50 ล้านบาท นั้นไปสร้างยอดขายให้เติบโตเป็น 1,100 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 110 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้มีกำไรสุทธิต่อหุ้นเป็น 1.1 บาท (110/100) และทำให้จ่ายปันผลเท่ากับ 55 ล้านบาท (110x55%) หรือคิดเป็นจ่ายเงินปันผล่อหุ้นเท่ากับ 0.55 บาทต่อหุ้น

หากเราซื้อหุ้น A ที่ราคาหุ้น 10 บาท ดังนั้นในปีแรก เราจะมีผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เท่ากับ 5% ต่อปี (0.5x100%/10) และหากเรายังถือครองหุ้นอยู่ปีต่อมาเราจะได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเท่ากับ 5.5% ต่อปี (0.55x100%/10) และปีต่อๆไป

หากบริษัทฯยังคงใช้นโยบายจ่ายเงินปันผลเหมือนเดิม ในขณะที่ยังคงกำไรได้เพิ่มขึ้นเหมือนเดิมจะส่งผลให้อัตราเงินปันผลของหุ้น A เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นเมื่อเราถือหุ้นยาวนานขึ้นเท่าไหร่ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น

นอกจากเงินปันผลที่ได้รับแล้ว เราจะได้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้เพราะเงินที่คงเหลือจากการจ่ายปันผลจะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น หรืออีกนัยหนึ่ง มูลค่าหุ้นตามบัญชี (Book Value) เพิ่มขึ้น ซึ่งจะสะท้อนไปให้ราคาหุ้นในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นในที่สุด

ดังนั้นการลงทุนในหุ้นปันผลมีแต่ได้กับได้เท่านั้น โดยไม่ต้องไปสนใจว่าอาทิตย์นี้ เดือนหน้า ปีหน้า ตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร ตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง เพราะสิ่งที่ได้คือ เงินปันผลรับที่สม่ำเสมอและเพิ่มขึ้นทุกปี ชีวิตนี้ไม่ต้องลุ้น เอาไว้ลุ้นบอลอย่างเดียวก็พอแล้วครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระบวนการลงทุนแนว VI

ควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดี

ถาม : ดิฉันกำลังคิดจะทำธุรกิจ อยากทราบว่าควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดีค่ะ ตอบ : คุณต้องประมาณเงินลงทุนทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ (1) ประมาณการเงินลงทุนสินทรัพย์ถาวร (2) ประมาณการเงินหมุนเวียนสุทธิ (Net Working Capital)  หลังจากนั้นคุณก็นำรายการที่ (1) บวกกับรายการที่ (2) แล้ว ผลรวมที่ได้คือ เงินลงทุนทั้งหมด ในกรณีที่คุณไม่ต้องการกู้เงิน เงินลงทุนทั้งหมดจะเป็นทุนที่ชำระแล้ว ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้ว่า ผู้ถือหุ้นต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 25% ของทุนจดทะเบียน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณจดทะเบียน 1.0 ล้านบาท คุณต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 250,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 75% ถือว่าเป็นภาระผูกพันของผู้ถือหุ้นที่มีต่อบริษัท ดังนั้นในกรณีที่บริษัทดำเนินธุรกิจจนเจ๊ง เจ้าหนี้สามารถใช้สิทธิบังคับให้ผู้ถือหุ้นชำระค่าหุ้นคงเหลืออีก 75% ซึ่งหมายความว่า หุ้นที่ชำระไม่ครบ 75% มีสถานะเป็นหนี้ของผู้ถือหุ้นนั่นเอง ตัวอย่าง การประมาณงินลงทุน เช่น บริษัท ABCD จำกัด มีสมมติฐานว่าปีหน้าจะมียอดขายประมาณ 10 ล้านบาท ต้นทุนขายประมาณ 7.5 ล้านบาท และงบประมาณการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร...

ช่วงเวลาในการซื้อขายหุ้น (Investment Timing)

ราคาหุ้นในตลาดหุ้น (Market Price) ถูกกำหนดมาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้ ปัจจัยภายนอก (External Factor) คือ ปัจจัยที่ไม่ได้มาจากกิจการโดยตรงซึ่งเป็นปัจจัยที่กิจการไม่สามารถควบคุมได้ เช่น กระแสเงินเงินทุนไหลออกและไหลเข้า (Fund Flow) วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางของสหรัฐฯและยุโรป การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับลดค่าเงินหยวน สงครามระหว่างประเทศและการก่อการร้ายในกลุ่มประเทศยุโรป จนถึง ตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรุนแรง การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล การปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาน้ำมัน การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคาร การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น ปัจจัยภายใน (Internal Factor) คือ ปัจจัยที่มาจากกิจการโดยตรง เช่น การขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ การขายหุ้นเพิ่มทุน การควบรวมกิจการ การซื้อและขายกิจการ การเพิ่มอัตราการก่อหนี้ในกิจการ การปิดบริษัทย่อย...

ต้นทุนเงินทุน (WACC)

ต้นทุนเงินทุน (Cost of Capital) หรือ ที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไป คือ WACC (Weighted Average Cost of Capital) หมายถึง ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของเงินทุน  มีประโยชน์เพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่ควรลงทุนในโครงการใดบ้างของบริษัท เช่น คุ้มค่าหรือไม่ที่จะลงทุนในโครงการใหม่ของบริษัท เป็นต้น อีกทั้ง WACC นี้ยังสามารถใช้ในการคำนวณหามูลค่าของกิจการ (Enterprise Value) และมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Intrinsic Value of Stock) ได้อีกด้วย WACC ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ประเภท คือ :- ประเภทที่ 1 ต้นทุนจากการเงินกู้ยืม หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (kd)   ประเภทที่ 2 ต้นทุนจากเงินทุนของผู้ถือหุ้น  หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (ke) เพื่อความง่ายในการทำความเข้าใจ WACC ขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้ บริษัท A มีเงินทุนประกอบด้วย เงินกู้จากเจ้าหนี้ที่มีดอกเบี้ย 100 ล้านบาท และเงินทุนจากผู้ถือหุ้น 100 ล้านบาท ดังนั้นเงินทุนทั้งหมดของกิจการ A คือ เงินกู้จากเจ้าหนี้ฯ + เงินทุนจากผู้ถือหุ้น = 100 + 100 ล้านบาท เท่ากับ 200 ล...

ควรตั้งเป้ายอดขายขั้นต่ำเท่าไหร่

ถาม : ตอนนี้ผมทำธุรกิจส่วนตัว และต้องการตั้งเป้าหมายการขายให้กับฝ่ายขาย อาจารย์พอจะมีวิธีที่ใช้ประมาณการขายหรือเปล่าครับ ตอบ : การตั้งเป้าหมายในการขายให้กับฝ่ายขาย เราสามารถคำนวณหาได้จากจุดคุ้มทุนขาย (Break-Even point of Sales) คือ ยอดขายที่ทำไม่มีผลกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิ หรือ ยอดขายที่พอดีกับค่าใช้จ่ายของกิจการ หรืออีกนัยหนึ่ง คือยอดขายขั้นต่ำที่ต้องให้กับฝ่ายขาย โดยมีสูตรดังนี้                                              จุดคุ้มทุนขาย  =   ค่าใช้จ่ายคงที่                                                  ...