ผมนั่งมองนาฬิกาที่ติดผนังห้องอย่างตั้งใจเพื่่อรอคอยการได้เข้าพบกับคนสำคัญที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตไปตลอดกาล สายตาเหลือบไปมองซองสีน้ำตาลที่บรรจุแผนธุรกิจที่เตรียมไว้อย่างดี ซึ่งผมใช้เวลาเขียนพร้อมหาข้อมูลมาประกอบเป็นเวลาเกือบสองเดือน สองเดือนที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย และยาวนานกว่าครั้งใดๆในชีวิต แต่ละนาทีที่ผ่านไปเดินไปอย่างช้าๆทำให้เข้าใจเรื่องเวลา 1 นาทีของแต่ละชีวิตไม่เท่ากัน "เมื่อชีวิตมีความสุข หนึ่งนาทีนั้นแสนสั้น แต่เมื่อชีวิตมีความทุกข์ หนึ่งนาทีนั้นแสนยาวนาน"
เลขาฯของเจ้าสัวบอกว่าท่านให้เข้าไปพบในห้องได้แล้ว ผมเดินเข้าไปในขณะที่แกยังก้มหน้าเซ็นเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะทำงาน แกเชิญให้นั่งและให้ผมช่วยอธิบายโครงการในแผนธุรกิจให้ฟังอย่างย่อเพราะแกบอกว่าคงไม่มีเวลาได้อ่านแผนธุรกิจทั้งเล่ม เนื่องจากในช่วงนี้เป็นช่วงเวลาการเตรียมตัวขยายการลงทุนจะมีขึ้นในปี 2558 ซึ่งเข้าสู่ยุคของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งมีตลาดที่ใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 10 เท่า ในทำนองกลับกัน หมายถึงการแข่งขันที่รุนแรงเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าเช่นเดียวกัน
ผมใช้เวลา 15 นาทีในการอธิบายโครงการทั้งหมดเป็นครั้งแรกที่แกเงยหน้าขึ้นมาสบตากันนับตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้ พร้อมด้วยคำถาม "คุณยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อโครงการนี้หรือเปล่า"
ผมทันควันด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นว่า "ผมจะทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อโครงการนี้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น"
แกพูดอย่างไม่ลังเลว่า "เส้นทางนี้เดินไปแล้วจะไม่สามารถเดินกลับได้ เป็นเส้นทางของผู้ประกอบการ เป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จ หรือหายนะ นั่นขึ้นอยู่กับผู้เดินทาง"
แกพูดเสริมต่อ "ความสำเร็จของการเดินทางนำมาซึ่งความร่ำรวยและความสุข ส่วนความหายนะของการเดินทางนำมาซึ่งความอับจนและความเจ็บปวดอย่างทุกข์ทรมาน น่ากลัวกว่าความตายเป็นไหนๆ"
"กว่าจะได้ความสำเร็จมานั้น ต้องแลกกับหลายสิ่งหลายอย่าง แลกกับการทำงานหนักและขยันแบบทะลุโลก แลกกับการไม่มีชีวิตส่วนตัวอีกต่อไปเพราะชีวิตมีแต่คิด...คิด..และคิดเกี่ยวกับธุรกิจ อยู่กับธุรกิจ จนไม่อาจมีเวลาเข้ากับร่วมสังคมใดๆ ชีวิตนี้จะไม่มีงานอดิเรกอีกต่อไป งานอดิเรกก็คือธุรกิจ ชีวิตนี้ไม่มีเวลาดูละครน้ำเน่าอีกต่อไป ชีวิตนี้คงต้องเลิกเล่นไลน์กับเฟชบุ๊คหรือสังคมออนไลน์อื่นทุกอย่าง"
"ความสำเร็จในธุรกิจมีโอกาสเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้น เหตุที่เป็นแบบนั้น เพราะผู้ประกอบการไม่สามารถทนฝืนทำงานหามรุ่งหามค่ำได้ ไม่สามารถทนฝืนกับความผิดพลาดของตนเองได้ ไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยสติปัญญาได้ในภาวะคับขัน ไม่สามารถรักษาความดีของตนเองไว้ได้เมื่อความโลภเข้ามาเยือน ไม่สามารถแบ่งปันให้ผู้อื่นได้แม้ตัวเองขัดสน"
ในขณะนั้นความคิดของผมได้เปลี่ยนไปอย่างมากหลังจากฟังความเห็นของแก แกกระตุกทำให้ผมรู้ว่าการทำธุรกิจเป็นบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่า กำไรหรือขาดทุน หรือสิ่งที่จับต้องได้เช่นทรัพย์สิน
การทำธุรกิจเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงคนในเชิงลึก เป็นการเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกของคน เป็นการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณของคน ดังนั้นในโลกนี้จะแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีวิญญานของความเป็นเจ้าของ เป็นวิญญานของผู้ที่มีแต่ให้กับให้ กับ กลุ่มที่มีไร้จิตวิญญานของความเป็นเจ้าของ เป็นวิญญานที่อยู่ในฐานะของผู้รับเท่านั้น
เลขาฯของเจ้าสัวบอกว่าท่านให้เข้าไปพบในห้องได้แล้ว ผมเดินเข้าไปในขณะที่แกยังก้มหน้าเซ็นเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะทำงาน แกเชิญให้นั่งและให้ผมช่วยอธิบายโครงการในแผนธุรกิจให้ฟังอย่างย่อเพราะแกบอกว่าคงไม่มีเวลาได้อ่านแผนธุรกิจทั้งเล่ม เนื่องจากในช่วงนี้เป็นช่วงเวลาการเตรียมตัวขยายการลงทุนจะมีขึ้นในปี 2558 ซึ่งเข้าสู่ยุคของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งมีตลาดที่ใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 10 เท่า ในทำนองกลับกัน หมายถึงการแข่งขันที่รุนแรงเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าเช่นเดียวกัน
ผมใช้เวลา 15 นาทีในการอธิบายโครงการทั้งหมดเป็นครั้งแรกที่แกเงยหน้าขึ้นมาสบตากันนับตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้ พร้อมด้วยคำถาม "คุณยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อโครงการนี้หรือเปล่า"
ผมทันควันด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นว่า "ผมจะทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อโครงการนี้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น"
แกพูดอย่างไม่ลังเลว่า "เส้นทางนี้เดินไปแล้วจะไม่สามารถเดินกลับได้ เป็นเส้นทางของผู้ประกอบการ เป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จ หรือหายนะ นั่นขึ้นอยู่กับผู้เดินทาง"
แกพูดเสริมต่อ "ความสำเร็จของการเดินทางนำมาซึ่งความร่ำรวยและความสุข ส่วนความหายนะของการเดินทางนำมาซึ่งความอับจนและความเจ็บปวดอย่างทุกข์ทรมาน น่ากลัวกว่าความตายเป็นไหนๆ"
"กว่าจะได้ความสำเร็จมานั้น ต้องแลกกับหลายสิ่งหลายอย่าง แลกกับการทำงานหนักและขยันแบบทะลุโลก แลกกับการไม่มีชีวิตส่วนตัวอีกต่อไปเพราะชีวิตมีแต่คิด...คิด..และคิดเกี่ยวกับธุรกิจ อยู่กับธุรกิจ จนไม่อาจมีเวลาเข้ากับร่วมสังคมใดๆ ชีวิตนี้จะไม่มีงานอดิเรกอีกต่อไป งานอดิเรกก็คือธุรกิจ ชีวิตนี้ไม่มีเวลาดูละครน้ำเน่าอีกต่อไป ชีวิตนี้คงต้องเลิกเล่นไลน์กับเฟชบุ๊คหรือสังคมออนไลน์อื่นทุกอย่าง"
"ความสำเร็จในธุรกิจมีโอกาสเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้น เหตุที่เป็นแบบนั้น เพราะผู้ประกอบการไม่สามารถทนฝืนทำงานหามรุ่งหามค่ำได้ ไม่สามารถทนฝืนกับความผิดพลาดของตนเองได้ ไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยสติปัญญาได้ในภาวะคับขัน ไม่สามารถรักษาความดีของตนเองไว้ได้เมื่อความโลภเข้ามาเยือน ไม่สามารถแบ่งปันให้ผู้อื่นได้แม้ตัวเองขัดสน"
ในขณะนั้นความคิดของผมได้เปลี่ยนไปอย่างมากหลังจากฟังความเห็นของแก แกกระตุกทำให้ผมรู้ว่าการทำธุรกิจเป็นบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่า กำไรหรือขาดทุน หรือสิ่งที่จับต้องได้เช่นทรัพย์สิน
การทำธุรกิจเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงคนในเชิงลึก เป็นการเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกของคน เป็นการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณของคน ดังนั้นในโลกนี้จะแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีวิญญานของความเป็นเจ้าของ เป็นวิญญานของผู้ที่มีแต่ให้กับให้ กับ กลุ่มที่มีไร้จิตวิญญานของความเป็นเจ้าของ เป็นวิญญานที่อยู่ในฐานะของผู้รับเท่านั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น