ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ทำธุรกิจแบบไม่ใช่เงิน ตอนที่ 2

ถาม : ขอบคุณอาจารย์มากนะครับที่ตอบคำถามเรื่องการทำธุรกิจโดยไม่มีเงิน แต่ผมลองเช็คกับเจ้าหนี้การค้าแล้วว่าเขาจะให้เครดิตผมได้ยาวที่สุดกี่วัน เขาให้เครดิตผมเพียง 30 วัน ในขณะที่ระยะเวลาในการขายสินค้า และการให้เครดิตแก่ลูกค้า รวมกันยาวถึง 90 วัน ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ แนะนำผมด้วยครับ

ตอบ : จากสภาวะการณ์ของคุณ ทางออกที่ดีที่สุด คือ การขอวงเงินแฟคตอริ่ง (Factoring) กับแบงก์ ซึ่งเป็นวงเงินระยะสั้น โดยหลักการคือว่า คุณก็เอาลูกหนี้การค้าของคุณไปขายให้กับแบงก์ โดยแบงก์จะจ่ายเงินให้บางส่วน หลังจากแบงก์เรียกเก็บเงินกับลูกหนี้ของคุณได้แล้ว แบงก์ก็จะหักดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นๆของแบงก์ เหลือเท่าไหร่ก็จะคืนให้กับคุณ

ตัวอย่างเช่น สมมติว่า คุณซื้อสินค้ามา 10 ล้านบาท ได้รับเครดิต 30 วัน ต่อมาคุณขายสินค้าได้ในวันที่ 30 ในราคา 12 ล้านบาท และได้ให้เครดิตกับลูกค้าอีก 60 วัน จะเห็นได้ว่า พอครบกำหนดการชำระหนี้ค่าสินค้า คุณไม่มีเงินจ่ายค่าสินค้า เนื่องจากกว่าจะเก็บเงินได้ก็ต้องใช้เวลา 90 วัน
ถ้าคุณแก้ปัญหาด้วยการใช้วงเงินแฟคตอริ่ง จะทำให้คุณสามารถมีเงินจ่ายค่าสินค้าได้ แต่อาจจะได้กำไรไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เนื่องจากคุณต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ให้กับแบงก์ แต่ก็ยังดีที่ได้กำไร และสร้างเครดิตคุณให้กับแบงก์ เผื่อในอนาคตอาจจะขอวงเงินเพิ่มเติมได้ ซึ่งดอกเบี้ยอาจจะถูกกว่า

วิธีการ ก็คือ  คุณก็เอาลูกหนี้การค้า 12 ล้านบาท ไปขายให้กับแบงก์ โดยแบงก์อาจจะให้เงินประมาณ 90% กับคุณ ซึ่งก็จะตกประมาณ 10.8 ล้านบาท (90%x12) ซึ่งก็พอให้คุณนำไปจ่ายกับเจ้าหนี้ ส่วนที่เหลือ 1.2 ล้านบาท แบงก์จะดำเนินการดังต่อไปนี้

1) แบงก์จะทำการคำนวณดอกเบี้ยบวกค่าใช้จ่ายอื่นๆ สมมติว่าคิดเป็น 12% ต่อปี หรือ เดือนละ 1% ดังนั้นกรณีของคุณ ขายให้กับแบงก์ 60 วัน ต้องจ่ายดอกเบี้ย 240,000 บาท (2%x12)

2) เมื่อแบงก์ตามเก็บหนี้ได้ แบงก์จะนำเงินที่เหลือ 1.2 ล้านบาท หักด้วย 240,000 บาท คงเหลือ 960,000 บาท คืนให้กับคุณ

จะเห็นได้ว่า คุณจะได้รับเงินสุทธิ 11,760,000 บาท (10,800,000+960,000) ซึ่งต่ำกว่าเงินที่ได้จากการขายที่ 12,000,000 บาท หรือกำไรลดลง 2%


www.mebmarket.com



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระบวนการลงทุนแนว VI

ควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดี

ถาม : ดิฉันกำลังคิดจะทำธุรกิจ อยากทราบว่าควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดีค่ะ ตอบ : คุณต้องประมาณเงินลงทุนทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ (1) ประมาณการเงินลงทุนสินทรัพย์ถาวร (2) ประมาณการเงินหมุนเวียนสุทธิ (Net Working Capital)  หลังจากนั้นคุณก็นำรายการที่ (1) บวกกับรายการที่ (2) แล้ว ผลรวมที่ได้คือ เงินลงทุนทั้งหมด ในกรณีที่คุณไม่ต้องการกู้เงิน เงินลงทุนทั้งหมดจะเป็นทุนที่ชำระแล้ว ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้ว่า ผู้ถือหุ้นต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 25% ของทุนจดทะเบียน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณจดทะเบียน 1.0 ล้านบาท คุณต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 250,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 75% ถือว่าเป็นภาระผูกพันของผู้ถือหุ้นที่มีต่อบริษัท ดังนั้นในกรณีที่บริษัทดำเนินธุรกิจจนเจ๊ง เจ้าหนี้สามารถใช้สิทธิบังคับให้ผู้ถือหุ้นชำระค่าหุ้นคงเหลืออีก 75% ซึ่งหมายความว่า หุ้นที่ชำระไม่ครบ 75% มีสถานะเป็นหนี้ของผู้ถือหุ้นนั่นเอง ตัวอย่าง การประมาณงินลงทุน เช่น บริษัท ABCD จำกัด มีสมมติฐานว่าปีหน้าจะมียอดขายประมาณ 10 ล้านบาท ต้นทุนขายประมาณ 7.5 ล้านบาท และงบประมาณการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร...

ช่วงเวลาในการซื้อขายหุ้น (Investment Timing)

ราคาหุ้นในตลาดหุ้น (Market Price) ถูกกำหนดมาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้ ปัจจัยภายนอก (External Factor) คือ ปัจจัยที่ไม่ได้มาจากกิจการโดยตรงซึ่งเป็นปัจจัยที่กิจการไม่สามารถควบคุมได้ เช่น กระแสเงินเงินทุนไหลออกและไหลเข้า (Fund Flow) วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางของสหรัฐฯและยุโรป การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับลดค่าเงินหยวน สงครามระหว่างประเทศและการก่อการร้ายในกลุ่มประเทศยุโรป จนถึง ตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรุนแรง การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล การปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาน้ำมัน การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคาร การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น ปัจจัยภายใน (Internal Factor) คือ ปัจจัยที่มาจากกิจการโดยตรง เช่น การขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ การขายหุ้นเพิ่มทุน การควบรวมกิจการ การซื้อและขายกิจการ การเพิ่มอัตราการก่อหนี้ในกิจการ การปิดบริษัทย่อย...

ต้นทุนเงินทุน (WACC)

ต้นทุนเงินทุน (Cost of Capital) หรือ ที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไป คือ WACC (Weighted Average Cost of Capital) หมายถึง ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของเงินทุน  มีประโยชน์เพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่ควรลงทุนในโครงการใดบ้างของบริษัท เช่น คุ้มค่าหรือไม่ที่จะลงทุนในโครงการใหม่ของบริษัท เป็นต้น อีกทั้ง WACC นี้ยังสามารถใช้ในการคำนวณหามูลค่าของกิจการ (Enterprise Value) และมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Intrinsic Value of Stock) ได้อีกด้วย WACC ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ประเภท คือ :- ประเภทที่ 1 ต้นทุนจากการเงินกู้ยืม หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (kd)   ประเภทที่ 2 ต้นทุนจากเงินทุนของผู้ถือหุ้น  หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (ke) เพื่อความง่ายในการทำความเข้าใจ WACC ขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้ บริษัท A มีเงินทุนประกอบด้วย เงินกู้จากเจ้าหนี้ที่มีดอกเบี้ย 100 ล้านบาท และเงินทุนจากผู้ถือหุ้น 100 ล้านบาท ดังนั้นเงินทุนทั้งหมดของกิจการ A คือ เงินกู้จากเจ้าหนี้ฯ + เงินทุนจากผู้ถือหุ้น = 100 + 100 ล้านบาท เท่ากับ 200 ล...

ควรตั้งเป้ายอดขายขั้นต่ำเท่าไหร่

ถาม : ตอนนี้ผมทำธุรกิจส่วนตัว และต้องการตั้งเป้าหมายการขายให้กับฝ่ายขาย อาจารย์พอจะมีวิธีที่ใช้ประมาณการขายหรือเปล่าครับ ตอบ : การตั้งเป้าหมายในการขายให้กับฝ่ายขาย เราสามารถคำนวณหาได้จากจุดคุ้มทุนขาย (Break-Even point of Sales) คือ ยอดขายที่ทำไม่มีผลกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิ หรือ ยอดขายที่พอดีกับค่าใช้จ่ายของกิจการ หรืออีกนัยหนึ่ง คือยอดขายขั้นต่ำที่ต้องให้กับฝ่ายขาย โดยมีสูตรดังนี้                                              จุดคุ้มทุนขาย  =   ค่าใช้จ่ายคงที่                                                  ...