ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มูลค่าหุ้น VS. ราคาหุ้น

มูลค่าหุ้น (Value of Stock) คือ สิ่งที่นักลงทุนได้รับจากหุ้น

ราคาหุ้น (Price of Stock) คือ สิ่งที่นักลงทุนจ่ายให้กับหุ้น

การลงทุนที่ประสบความสำเร็จ คือ มูลค่าหุ้น มากกว่า ราคาหุ้น หรือ เรียกอีกแบบหนึ่งว่า "หุ้นราคาถูก (Undervalued)" เมื่อหุ้นราคาถูกย่อมมีโอกาสสูงมากที่หุ้นจะปรับราคาขึ้นในอนาคต เพราะไม่ช้าก็เร็วตลาดจะรับรู้และเข้าสู่จุดสมดุลในที่สุด

ปรกติ เราสามารถจะหา หุ้นราคาถูก ได้เสมอ เมื่อตลาดเข้าสู่สภาวะหมีใหญ่ (กลัวจัด)

ในทางกลับกัน การลงทุนที่ล้มเหลว คือ ราคาหุ้น มากกว่า มูลค่าหุ้น   หรือ เรียกอีกแบบหนึ่งว่า "หุ้นราคาแพง (Overvalued)" เมื่อหุ้นราคาแพงย่อมมีโอกาสสูงมากที่หุ้นจะปรับราคาลงในอนาคต เพราะไม่ช้าก็เร็วตลาดจะรับรู้และเข้าสู่จุดสมดุลในที่สุดเช่นเดียวกัน

ปรกติ เราสามารถจะพบ หุ้นราคาแพง ได้เสมอ เมื่อตลาดเข้าสู่สภาวะพญากระทิง (โลภจัด)

หลักการลงทุนง่ายๆ คือ ซื้อหุ้นตอนตลาดหมีใหญ่ และขายหุ้นตอนตลาดพญากระทิง หรือ ซื้อถูก (Undervalued) ขายแพง (Overvalued) แต่หลักการนี้ถ้าคิดให้ดีฝืนความรู้สึกของคน คือ ให้ซื้อหุ้นในขณะที่ตลาดกำลังตกต่ำไปเรื่อยๆ ในขณะที่ขายหุ้นในขณะที่ตลาดกำลังวิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นไม่แปลกที่คนเล่นหุ้นส่วนใหญ่ทำตรงกันข้าม ผลลัพธ์ก็คือ ซื้อแพง ขายถูก 

โดยธรรมชาติ ผู้ที่ปรับให้มูลค่าหุ้นให้ใกล้เคียงกับราคาหุ้น คือ นักเก็งกำไร เพราะเขามีหน้าที่แสวงหาช่องว่าง (Gap Finding) ที่มีอยู่ในตลาดแล้วทำกำไร หรืออาจกล่าวได้ว่า นักลงทุนต้องการนักเก็งกำไร ในขณะเดียวกันนักเก็งกำไรก็ต้องการนักลงทุน ซึ่งเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี

สำหรับมูลค่าหุ้น (Value of Stock) ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น คือ มูลค่าหุ้นที่แท้จริง (Intrinsic Value of Stock) ซึ่งสามารถคำนวณได้หลายวิธี ทั้งแบบวิธีผลคูณ (Multiple Model) และแบบวิธีกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow Model)

สำหรับการคำนวณหามูลค่าหุ้นแบบวิธีผลคูณ (Multiple Model) จะนำมาเสนอในครั้งหน้า

หากท่านต้องการศึกษาวิธีคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงด้วยวิธีกระแสเงินสด (DCF) อย่างละเอียดสามารถดูได้จาก หนังสือ เลือกหุ้นเล่นหุ้นประเมินราคาหุ้นด้วยตนเอง ที่ www.mebmarket.com



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระบวนการลงทุนแนว VI

ควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดี

ถาม : ดิฉันกำลังคิดจะทำธุรกิจ อยากทราบว่าควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดีค่ะ ตอบ : คุณต้องประมาณเงินลงทุนทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ (1) ประมาณการเงินลงทุนสินทรัพย์ถาวร (2) ประมาณการเงินหมุนเวียนสุทธิ (Net Working Capital)  หลังจากนั้นคุณก็นำรายการที่ (1) บวกกับรายการที่ (2) แล้ว ผลรวมที่ได้คือ เงินลงทุนทั้งหมด ในกรณีที่คุณไม่ต้องการกู้เงิน เงินลงทุนทั้งหมดจะเป็นทุนที่ชำระแล้ว ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้ว่า ผู้ถือหุ้นต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 25% ของทุนจดทะเบียน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณจดทะเบียน 1.0 ล้านบาท คุณต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 250,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 75% ถือว่าเป็นภาระผูกพันของผู้ถือหุ้นที่มีต่อบริษัท ดังนั้นในกรณีที่บริษัทดำเนินธุรกิจจนเจ๊ง เจ้าหนี้สามารถใช้สิทธิบังคับให้ผู้ถือหุ้นชำระค่าหุ้นคงเหลืออีก 75% ซึ่งหมายความว่า หุ้นที่ชำระไม่ครบ 75% มีสถานะเป็นหนี้ของผู้ถือหุ้นนั่นเอง ตัวอย่าง การประมาณงินลงทุน เช่น บริษัท ABCD จำกัด มีสมมติฐานว่าปีหน้าจะมียอดขายประมาณ 10 ล้านบาท ต้นทุนขายประมาณ 7.5 ล้านบาท และงบประมาณการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร...

ช่วงเวลาในการซื้อขายหุ้น (Investment Timing)

ราคาหุ้นในตลาดหุ้น (Market Price) ถูกกำหนดมาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้ ปัจจัยภายนอก (External Factor) คือ ปัจจัยที่ไม่ได้มาจากกิจการโดยตรงซึ่งเป็นปัจจัยที่กิจการไม่สามารถควบคุมได้ เช่น กระแสเงินเงินทุนไหลออกและไหลเข้า (Fund Flow) วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางของสหรัฐฯและยุโรป การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับลดค่าเงินหยวน สงครามระหว่างประเทศและการก่อการร้ายในกลุ่มประเทศยุโรป จนถึง ตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรุนแรง การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล การปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาน้ำมัน การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคาร การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น ปัจจัยภายใน (Internal Factor) คือ ปัจจัยที่มาจากกิจการโดยตรง เช่น การขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ การขายหุ้นเพิ่มทุน การควบรวมกิจการ การซื้อและขายกิจการ การเพิ่มอัตราการก่อหนี้ในกิจการ การปิดบริษัทย่อย...

ต้นทุนเงินทุน (WACC)

ต้นทุนเงินทุน (Cost of Capital) หรือ ที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไป คือ WACC (Weighted Average Cost of Capital) หมายถึง ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของเงินทุน  มีประโยชน์เพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่ควรลงทุนในโครงการใดบ้างของบริษัท เช่น คุ้มค่าหรือไม่ที่จะลงทุนในโครงการใหม่ของบริษัท เป็นต้น อีกทั้ง WACC นี้ยังสามารถใช้ในการคำนวณหามูลค่าของกิจการ (Enterprise Value) และมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Intrinsic Value of Stock) ได้อีกด้วย WACC ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ประเภท คือ :- ประเภทที่ 1 ต้นทุนจากการเงินกู้ยืม หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (kd)   ประเภทที่ 2 ต้นทุนจากเงินทุนของผู้ถือหุ้น  หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (ke) เพื่อความง่ายในการทำความเข้าใจ WACC ขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้ บริษัท A มีเงินทุนประกอบด้วย เงินกู้จากเจ้าหนี้ที่มีดอกเบี้ย 100 ล้านบาท และเงินทุนจากผู้ถือหุ้น 100 ล้านบาท ดังนั้นเงินทุนทั้งหมดของกิจการ A คือ เงินกู้จากเจ้าหนี้ฯ + เงินทุนจากผู้ถือหุ้น = 100 + 100 ล้านบาท เท่ากับ 200 ล...

ควรตั้งเป้ายอดขายขั้นต่ำเท่าไหร่

ถาม : ตอนนี้ผมทำธุรกิจส่วนตัว และต้องการตั้งเป้าหมายการขายให้กับฝ่ายขาย อาจารย์พอจะมีวิธีที่ใช้ประมาณการขายหรือเปล่าครับ ตอบ : การตั้งเป้าหมายในการขายให้กับฝ่ายขาย เราสามารถคำนวณหาได้จากจุดคุ้มทุนขาย (Break-Even point of Sales) คือ ยอดขายที่ทำไม่มีผลกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิ หรือ ยอดขายที่พอดีกับค่าใช้จ่ายของกิจการ หรืออีกนัยหนึ่ง คือยอดขายขั้นต่ำที่ต้องให้กับฝ่ายขาย โดยมีสูตรดังนี้                                              จุดคุ้มทุนขาย  =   ค่าใช้จ่ายคงที่                                                  ...