หลังจากวิกฤติประมาณสักประมาณ 2 ปี ก็ได้เวลาเริ่มเข้าสู่การลงทุนของกองทุนล่าอาณานิคม เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สุกงอมและทราบแล้วว่าบริษัทจดทะเบียนใด (บริษัทที่มีหุ้นซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์) สามารถผ่านพ้นวิกฤติไปได้ แต่ยังคงบาดเจ็บและอ่อนแออยู่ ถ้าได้รับการเยียวยาที่ถูกต้องจะเกิดอาการ "เกือบตาย แล้วฟื้นคืนชีพ" หรือนักลงทุนเรียกกันว่าธุรกิจ / หุ้น ประเภท Turnaround โดยกองทุนเหล่านี้จะเสนอตัวเข้ามาซื้อหุ้นของบริษัทฯแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) ในราคาถูกแสนถูก และบริษัทฯส่วนใหญ่ก็ยินดีจะขายด้วย เนื่องจาก ถ้าไม่ขายอาการเกือบตายอาจจะกลับไปตายได้ คือสูญเสียทุกอย่างให้กับเจ้าหนี้เงินกู้ เพราะอาจไม่มีกำลังจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้น และจะถูกยึดทรัพย์ในที่สุด ดังนั้นการขายหุ้นครั้งนี้เปรียบได้กับการตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต
กองทุนนักล่าเหล่านี้จะเลือกบริษัทที่มีลักษณะ คือ มีกำไรจากการดำเนินงาน แต่มีผลขาดทุนสุทธิ โดยผลขาดทุนสุทธินี้สาเหตุหลักมาจากดอกเบี้ยจ่ายที่มีจำนวนสูงมากซึ่งจะแสดงในรูปแแบบงบการเงินดังนี้
งบกำไรขาดทุน ก่อนขายหุ้นเพิ่มทุน
หน่วย : ล้านบาท
รายได้จากการขาย 1,000
ต้นทุนขาย 700
กำไรขั้นต้น 300
ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร 100
กำไจากการดำเนินงาน 200
ดอกเบี้ยจ่าย 250
ขาดทุนสุทธิ 50
เมื่อเลือกบริษัทเป้าหมายได้แล้ว สิ่งที่ต้องดำเนินต่อไป คือ การซื้อหุ้นของบริษัท และกำหนดในเงื่อนไขในสัญญาว่าให้บริษัทต้องนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นเพิ่มทุน ไปใช้คืนหนี้เงินกู้ยืมกับเจ้าหนี้เงินกู้
หลังจากนั้นบริษัทก็นำเงินไปจ่ายคืนหนี้กับเจ้าหนี้เงินกู้ซึ่งจะส่งผลให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลงอย่างมาก สมมติ ดอกเบี้ยจ่ายลดลงจาก 250 ล้านบาทเหลือ เพียง 100 ล้านบาททำให้บริษัทพลิกจากขาดทุนเป็นกำไร 100 ล้านบาท แสดงงบกำไรขาดทุนได้ดังนี้
งบกำไรขาดทุน หลังขายหุ้นเพิ่มทุน
หน่วย : ล้านบาท
รายได้จากการขาย 1,000
ต้นทุนขาย 700
กำไรขั้นต้น 300
ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร 100
กำไจากการดำเนินงาน 200
ดอกเบี้ยจ่าย 100
กำไรสุทธิ 100
บริษัทฯได้พลิกกลับมาทำกำไรแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ ราคาหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตามผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัว กองทุนนักล่านี้ก็จะขายหุ้นที่ได้มาในราคาที่ได้กำไรอย่างน้อย 100% คืนให้กับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ แค่นี้ก็เสร็จสิ้นกระบวนการทำกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำ
กองทุนนักล่าจะใช้วิธีซ้ำๆแบบนี้ในการแสวงหากำไรไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเอง สิ่งที่เล่ามาทั้ืงหมดนี้จึงเรียกว่า "วิกฤติ คือ โอกาส" ที่แท้จริง หมายถึง ความวิบัติของสิ่งหนึ่ง แต่สร้างความมั่งคั่งให้กับอีกสิ่งหนึ่ง
ทั้งหมดที่เล่าสู่กันฟังนี้สอนบทเรียนให้รู้ว่า อย่าเห็นแก่ประโยชน์ในระยะสั้นแต่มองข้ามประโยชน์ในระยะยาว เพราะวิกฤติที่เกิดขึ้นทุกครั้งเกิดจากการเห็นแก่ประโยชน์ในระยะสั้นทั้งนั้น
กองทุนนักล่าเหล่านี้จะเลือกบริษัทที่มีลักษณะ คือ มีกำไรจากการดำเนินงาน แต่มีผลขาดทุนสุทธิ โดยผลขาดทุนสุทธินี้สาเหตุหลักมาจากดอกเบี้ยจ่ายที่มีจำนวนสูงมากซึ่งจะแสดงในรูปแแบบงบการเงินดังนี้
งบกำไรขาดทุน ก่อนขายหุ้นเพิ่มทุน
หน่วย : ล้านบาท
รายได้จากการขาย 1,000
ต้นทุนขาย 700
กำไรขั้นต้น 300
ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร 100
กำไจากการดำเนินงาน 200
ดอกเบี้ยจ่าย 250
ขาดทุนสุทธิ 50
เมื่อเลือกบริษัทเป้าหมายได้แล้ว สิ่งที่ต้องดำเนินต่อไป คือ การซื้อหุ้นของบริษัท และกำหนดในเงื่อนไขในสัญญาว่าให้บริษัทต้องนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นเพิ่มทุน ไปใช้คืนหนี้เงินกู้ยืมกับเจ้าหนี้เงินกู้
หลังจากนั้นบริษัทก็นำเงินไปจ่ายคืนหนี้กับเจ้าหนี้เงินกู้ซึ่งจะส่งผลให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลงอย่างมาก สมมติ ดอกเบี้ยจ่ายลดลงจาก 250 ล้านบาทเหลือ เพียง 100 ล้านบาททำให้บริษัทพลิกจากขาดทุนเป็นกำไร 100 ล้านบาท แสดงงบกำไรขาดทุนได้ดังนี้
งบกำไรขาดทุน หลังขายหุ้นเพิ่มทุน
หน่วย : ล้านบาท
รายได้จากการขาย 1,000
ต้นทุนขาย 700
กำไรขั้นต้น 300
ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร 100
กำไจากการดำเนินงาน 200
ดอกเบี้ยจ่าย 100
กำไรสุทธิ 100
บริษัทฯได้พลิกกลับมาทำกำไรแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ ราคาหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตามผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัว กองทุนนักล่านี้ก็จะขายหุ้นที่ได้มาในราคาที่ได้กำไรอย่างน้อย 100% คืนให้กับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ แค่นี้ก็เสร็จสิ้นกระบวนการทำกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำ
กองทุนนักล่าจะใช้วิธีซ้ำๆแบบนี้ในการแสวงหากำไรไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเอง สิ่งที่เล่ามาทั้ืงหมดนี้จึงเรียกว่า "วิกฤติ คือ โอกาส" ที่แท้จริง หมายถึง ความวิบัติของสิ่งหนึ่ง แต่สร้างความมั่งคั่งให้กับอีกสิ่งหนึ่ง
ทั้งหมดที่เล่าสู่กันฟังนี้สอนบทเรียนให้รู้ว่า อย่าเห็นแก่ประโยชน์ในระยะสั้นแต่มองข้ามประโยชน์ในระยะยาว เพราะวิกฤติที่เกิดขึ้นทุกครั้งเกิดจากการเห็นแก่ประโยชน์ในระยะสั้นทั้งนั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น