ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

กำไรทุกปี แต่ทำไมไม่มีเงิน

คำถาม : ผมทำธุรกิจเกินกว่า 10 ปี แล้ว ทำไมไม่มีเงินเก็บสักทีครับ ทั้งที่บริษัทฯมีกำไรประมาณ 10% ของรายได้เกือบทุกปี แต่ทุกปีต้องคอยหาเงินเพิ่มเข้าไปในธุรกิจ มันเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจของผมครับ

ตอบ : น่าจะเป็นไปได้ว่าธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น โดยสังเกตได้จากยอดขายเพิ่มขึ้น ที่ดิน อาคารอุปกรณ์ เพิ่มขึ้น แต่เหตุที่ต้องหาเงินมาเพิ่มทุกปีเพราะว่ากำไรที่ได้รับไม่เพียงพอต่อเงินทุนหมุนเวียน และเงินลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่เพิ่มขึ้น

ตัวอย่าง  สมมติว่าปีก่อนธุรกิจมีรายได้ 100 ล้านบาท เมื่อหักด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมทั้งภาษี 90 ล้านบาท ทำให้ธุรกิจมีกำไรสุทธิ 10 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 10% ตามที่คุณบอก และสมมติต่อไปอีกว่ากำไรสุทธิ 10 ล้านบาท เป็นเงินสดทั้งหมดที่ 10 ล้านบาท
แต่ในปีนี้คุณวางแผนไว้ว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน และต้องมีการลงทุนเปิดร้านค้าเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 2 แห่ง จากแผนงานของคุณ อันดับแรกคุณต้องลองคำนวณหาเงินทุนหมุนเวียนโดยใช้สูตรดังนี้

     เงินทุนหมุนเวียน  = ลูกหนี้การค้า + สินค้าคงเหลือ - เจ้าหนี้การค้า                             
                                                                  ยอดขาย
  คุณลองเปิดในงบการเงินของปีก่อนในส่วนของงบดุล คุณสามารถหารายการลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ และเจ้าหนี้การค้าได้ สมมติว่า ลูกหนี้การค้า  50 ล้านบาท สินค้าคงเหลือ 50 ล้านบาท และเจ้าหนี้การค้า 50 ล้านบาท ดังนั้นตอนนี้คุณสามารถหาเงินทุนหมุนเวียนได้ดังนี้
 

         เงินทุนหมุนเวียน  = 50 + 50 – 50 = 0.5
                                             100
 จากเงินทุนหมุนเวียนที่คำนวณได้ข้างต้น หากต้องการยอดขายเพิ่มขึ้น 20% หรือ 20 ล้านบาท (100x20%) ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียน 10 ล้านบาท (20x0.5) และกิจการต้องการลงทุนเปิดร้านค้า 2 แห่ง สมมติว่าต้องใช้เงินลงทุนแห่งละ 2.5 ล้านบาท ดังนั้นทั้งหมด 2 แห่งต้องใช้เงินลงทุน 5.0 ล้านบาท


 สรุปได้ว่าในปีนี้ต้องใช้เงินทั้งหมด 15 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินทุนหมุนเวียนที่รองรับยอดขายเพิ่มขึ้นจำนวน 10 ล้านบาท และเงินลงทุนในสินทรัพย์ถาวรจากการเปิดร้านใหม่อีก 5 ล้านบาท ในขณะที่มีเงินสดจากปีก่อนแค่ 10 ล้านบาท จะพบว่ากิจการต้องการเงินทุนเพิ่มเติมอีก 5 ล้านบาท ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณไม่มีเงินเก็บ แถมยังต้องหาเงินใส่เพิ่มเข้าไปในธุรกิจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระบวนการลงทุนแนว VI

ควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดี

ถาม : ดิฉันกำลังคิดจะทำธุรกิจ อยากทราบว่าควรมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเท่าไหร่ดีค่ะ ตอบ : คุณต้องประมาณเงินลงทุนทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ (1) ประมาณการเงินลงทุนสินทรัพย์ถาวร (2) ประมาณการเงินหมุนเวียนสุทธิ (Net Working Capital)  หลังจากนั้นคุณก็นำรายการที่ (1) บวกกับรายการที่ (2) แล้ว ผลรวมที่ได้คือ เงินลงทุนทั้งหมด ในกรณีที่คุณไม่ต้องการกู้เงิน เงินลงทุนทั้งหมดจะเป็นทุนที่ชำระแล้ว ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้ว่า ผู้ถือหุ้นต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 25% ของทุนจดทะเบียน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณจดทะเบียน 1.0 ล้านบาท คุณต้องชำระค่าหุ้นขั้นต่ำ 250,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 75% ถือว่าเป็นภาระผูกพันของผู้ถือหุ้นที่มีต่อบริษัท ดังนั้นในกรณีที่บริษัทดำเนินธุรกิจจนเจ๊ง เจ้าหนี้สามารถใช้สิทธิบังคับให้ผู้ถือหุ้นชำระค่าหุ้นคงเหลืออีก 75% ซึ่งหมายความว่า หุ้นที่ชำระไม่ครบ 75% มีสถานะเป็นหนี้ของผู้ถือหุ้นนั่นเอง ตัวอย่าง การประมาณงินลงทุน เช่น บริษัท ABCD จำกัด มีสมมติฐานว่าปีหน้าจะมียอดขายประมาณ 10 ล้านบาท ต้นทุนขายประมาณ 7.5 ล้านบาท และงบประมาณการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร...

ช่วงเวลาในการซื้อขายหุ้น (Investment Timing)

ราคาหุ้นในตลาดหุ้น (Market Price) ถูกกำหนดมาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้ ปัจจัยภายนอก (External Factor) คือ ปัจจัยที่ไม่ได้มาจากกิจการโดยตรงซึ่งเป็นปัจจัยที่กิจการไม่สามารถควบคุมได้ เช่น กระแสเงินเงินทุนไหลออกและไหลเข้า (Fund Flow) วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางของสหรัฐฯและยุโรป การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับลดค่าเงินหยวน สงครามระหว่างประเทศและการก่อการร้ายในกลุ่มประเทศยุโรป จนถึง ตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรุนแรง การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล การปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาน้ำมัน การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคาร การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น ปัจจัยภายใน (Internal Factor) คือ ปัจจัยที่มาจากกิจการโดยตรง เช่น การขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ การขายหุ้นเพิ่มทุน การควบรวมกิจการ การซื้อและขายกิจการ การเพิ่มอัตราการก่อหนี้ในกิจการ การปิดบริษัทย่อย...

ต้นทุนเงินทุน (WACC)

ต้นทุนเงินทุน (Cost of Capital) หรือ ที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไป คือ WACC (Weighted Average Cost of Capital) หมายถึง ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของเงินทุน  มีประโยชน์เพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าควรลงทุนหรือไม่ควรลงทุนในโครงการใดบ้างของบริษัท เช่น คุ้มค่าหรือไม่ที่จะลงทุนในโครงการใหม่ของบริษัท เป็นต้น อีกทั้ง WACC นี้ยังสามารถใช้ในการคำนวณหามูลค่าของกิจการ (Enterprise Value) และมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Intrinsic Value of Stock) ได้อีกด้วย WACC ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ประเภท คือ :- ประเภทที่ 1 ต้นทุนจากการเงินกู้ยืม หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (kd)   ประเภทที่ 2 ต้นทุนจากเงินทุนของผู้ถือหุ้น  หรือ ที่เข้าใจโดยทั่วไป คือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (ke) เพื่อความง่ายในการทำความเข้าใจ WACC ขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้ บริษัท A มีเงินทุนประกอบด้วย เงินกู้จากเจ้าหนี้ที่มีดอกเบี้ย 100 ล้านบาท และเงินทุนจากผู้ถือหุ้น 100 ล้านบาท ดังนั้นเงินทุนทั้งหมดของกิจการ A คือ เงินกู้จากเจ้าหนี้ฯ + เงินทุนจากผู้ถือหุ้น = 100 + 100 ล้านบาท เท่ากับ 200 ล...

ควรตั้งเป้ายอดขายขั้นต่ำเท่าไหร่

ถาม : ตอนนี้ผมทำธุรกิจส่วนตัว และต้องการตั้งเป้าหมายการขายให้กับฝ่ายขาย อาจารย์พอจะมีวิธีที่ใช้ประมาณการขายหรือเปล่าครับ ตอบ : การตั้งเป้าหมายในการขายให้กับฝ่ายขาย เราสามารถคำนวณหาได้จากจุดคุ้มทุนขาย (Break-Even point of Sales) คือ ยอดขายที่ทำไม่มีผลกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิ หรือ ยอดขายที่พอดีกับค่าใช้จ่ายของกิจการ หรืออีกนัยหนึ่ง คือยอดขายขั้นต่ำที่ต้องให้กับฝ่ายขาย โดยมีสูตรดังนี้                                              จุดคุ้มทุนขาย  =   ค่าใช้จ่ายคงที่                                                  ...