บทสุดท้ายของไดอารี่มีข้อความดังนี้
มันคงจะดีหากพ่อได้มีโอกาสบอกกับเดี่ยวด้วยตัวของพ่อเอง แต่หากพ่อไม่มีโอกาสได้บอกให้ลูกรู้ เพราะพ่ออาจจะจากไปก่อนเวลาอันควร พ่อก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าไดอารี่เล่มนี้จะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดแทนพ่อได้เป็นอย่างดี
เมื่อครั้งที่ลูกอยากทำธุรกิจส่วนตัว แต่พ่อไม่เห็นด้วยนั่นเป็นเหตุที่ทำให้เราพ่อลูกต้องทะเลาะกัน ด้วยเหตุผลก็คือ พ่อคิดว่ามันไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมด้านความรู้ ประสบการณ์ และความพร้อมทางอารมณ์ ของเดี่ยว เปรียบเหมือนคำกล่าวที่ว่า ผลไม้ต้องรอเวลาสุก
ความจริงแล้วพ่อก็อยากเห็นลูกมีธุรกิจส่วนตัวเช่นกัน ดังนั้นพ่อจึงได้ทำงานพิเศษเพื่อเก็บเงินไว้ให้ลูกเป็นทุนในการทำธุรกิจ ถึงแม้มันอาจจะไม่มากมาย แต่ก็พอที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจได้ และพ่อขอให้ลูกอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆไป เพราะสิ่งเล็กๆเหล่านี้จะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่เสมอ ตัวอย่างเช่น เงินลงทุน 1.0 ล้านบาท หากลงทุนแล้วให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี เรานำผลตอบแทนที่ได้มาลงทุนซ้ำอีกจะพบว่าอีก 10 ปีต่อมา เราจะมีเงินทั้งหมด 2.6 ล้านบาท ถ้าหากลงทุนเป็นระยะเวลา 20 ปี จะมีเงินทั้งหมด 6.7 ล้านบาท หรือหากลงทุนเป็นระยะเวลา 30 ปี ก็จะมีเงินถึง 17.4 ล้านบาท
พ่อจะแสดงวิธีคิดจากสูตรที่ลูกอาจจะเคยเรียนมาแล้วดังนี้
เงินในอนาคต = เงินลงทุน x (1+ผลตอบแทนจากการลงทุน)^ปี
หากเปลี่ยนผลตอบแทนจากการลงทุนเป็น 15% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกเพียง 5% จะเห็นว่า เงินที่ได้มีค่าแตกต่างกันอย่างมาก คือ เมื่อลงทุน 10 ปี จะทำให้เรามีเงินถึง 4 ล้านบาท หากลงทุน 20 ปี จะทำให้มีเงินถึง 16.4 ล้านบาท หรือหากลงทุน 30 ปี จะทำให้มีเงินถึง 66.2 ล้านบาท
เมื่อเราเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนอีก 5% เป็น 20% ต่อปี ในระยะเวลา 30 ปี เราจะมีเงินถึง 237.4 ล้านบาท จากตัวเลขที่แสดงมาทั้งหมดเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า สิ่งเล็กๆในวันนี้จะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต หรือพูดได้ว่าเงินจำนวนน้อยๆในวันนี้จะทำให้เราร่ำรวยอย่างเหลือเชื่อในอนาคต
พ่ออยากให้ลูกรู้ว่าก่อนที่เราจะเริ่มลงทุนทำธุรกิจ ลูกต้องแยกแยะให้ออกระหว่าง “วงจรแห่งความยากจน” และ “วงจรแห่งความร่ำรวย” พ่อเคยอยู่ทั้งสองวงจร โดยที่พ่อเริ่มจาก “วงจรแห่งความร่ำรวย” คือในช่วงที่พ่อทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างประสบความสำเร็จ ต่อมาพ่อก็เข้ามาอยู่ใน “วงจรแห่งความยากจน” ก็คือตอนที่พ่อขยายงานไปลงทุนในธุรกิจโรงแรม และโรงหนัง ซึ่งเป็นธุรกิจที่พ่อไม่มีความถนัด แต่ลงทุนไปเพราะความโลภขาดสติ คิดแต่เพียงว่าเป็นกระแสของตลาด อย่างไรก็ตามเรื่องราวทั้งหมดได้สอนสัจธรรมให้พ่อได้รู้ว่า สิ่งต่างๆในโลกนี้ เกิดขึ้น คงอยู่ และดับไป เป็นตามธรรมดาของมัน ไม่เคยมีสิ่งใดที่จะรุ่งเรืองได้ตลอดไป และไม่มีสิ่งใดที่เสื่อมทรามได้ตลอดไปเช่นเดียวกัน
พ่อจะเล่าให้เดี่ยวฟังว่า ทำไมพ่อถึงได้เข้าไปสู่วงจรแห่งความยากจนได้ เมื่อพ่อตัดสินใจจะลงทุนในธุรกิจโรงแรมและโรงหนัง แต่เวลานั้นพ่อไม่มีเงินทุนเลย ดังนั้นพ่อจึงต้องกู้เงินจากธนาคาร และกู้นอกระบบมาลงทุน ปรากฏว่าทรัพย์สินที่ลงทุนไป ก่อให้เกิดรายได้ไม่พอกับดอกเบี้ยจ่าย เมื่อไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ยพ่อก็จำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มอีกเพื่อนำมาจ่ายดอกเบี้ย ยิ่งกู้เพิ่มมากขึ้น ดอกเบี้ยจ่ายก็ยิ่งเพิ่มขี้นเป็นเงาตามตัว มิหนำซ้ำรายได้จากธุรกิจก็ไม่ดีเพราะพ่อไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจประเภทนี้มากนัก เมื่อเป็นเช่นนี้สุดท้ายก็ถึงทางตันคือ ธุรกิจขาดสภาพคล่องไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่างๆ จนทำให้ธุรกิจต้องเลิกไป เจ้าหนี้ก็ฟ้องร้องจนยึดทรัพย์สินไปขายทอดตลาด เมื่อไม่พอชำระหนี้ก็มาฟ้องร้องหนี้ส่วนที่เหลือจากพ่ออีก เป็นผลสืบเนื่องมาถึงธุรกิจรับเหมาของพ่อก็เริ่มมีปัญหา
สุดท้ายเรื่องราวต่างๆก็จบลง พ่อแทบจะหมดตัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้พ่อไม่เคยท้อแท้ หรือคิดสั้นกับชีวิตเลย ก็คือ พ่อมีครอบครัวที่อบอุ่น มีทั้งแม่ที่คอยเป็นกำลังใจให้อยู่ตลอดเวลา และมีลูกๆที่พ่อรักยิ่งกว่าสิ่งใด
พ่ออยู่ในวงจรแห่งความร่ำรวย เมื่อตอนที่พ่อเริ่มต้นทำธุรกิจซึ่งพ่อรู้จักและเข้าใจธุรกิจประเภทนี้เป็นอย่างดี จากเงินทุนก้อนเล็กๆของตัวเองและเงินทุนจากเพื่อนฝูงบางส่วน ลงทุนซื้อทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้ เมื่อนำรายได้มาหักกับค่าใช้จ่าย แล้วยังคงเหลือเป็นกำไร จึงนำกำไรบางส่วนไปจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้น กำไรส่วนที่เหลือก็นำไปซื้อทรัพย์สินเพิ่มเติม ทรัพย์สินยิ่งเพิ่มมากขึ้นก็จะก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น และจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นด้วย กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นก็กลับมาเป็นทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอีก หมุนเวียนกันไปเรื่อยๆอย่างไม่จบสิ้น
สิ่งที่พ่อได้เขียนบันทึกไว้นี้ พ่อหวังว่าลูกคงได้ประโยชน์จากมันไม่มากก็น้อย เพราะเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นประสบการณ์ของพ่อ พ่อจึงปรารถนาให้เดี่ยวเลือกทางเดินที่ถูกต้องและเหมาะสม และสุดท้ายนี้พ่อได้เตรียมมรดกทางความคิดไว้ให้เดี่ยว พ่อหวังว่ามันจะทำให้ทุกคนในครอบครัวของเรามีชีวิตที่สุขสบาย
มรดก นั้นคือ ลิขสิทธิ์ของหนังสือที่พ่อได้เขียนไว้ทั้งหมด ประกอบด้วย หนังสือการตลาด หนังสือบริหารจัดการ หนังสือการเงินการลงทุน หนังสือบัญชีและภาษี และหนังสือกฎหมาย ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่า 100 เล่ม เรียงอยู่ในชั้นหนังสือด้านหลังโต๊ะทำงานพ่อ
รักลูกๆ กับแม่บัวเสมอ
พ่อเดช
หมายเหตุ : เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ คู่มือ ...หาเงินทำธุรกิจ หากท่านใดสนใจสั่งซื้อได้ที่ www.mebmarket.com
มันคงจะดีหากพ่อได้มีโอกาสบอกกับเดี่ยวด้วยตัวของพ่อเอง แต่หากพ่อไม่มีโอกาสได้บอกให้ลูกรู้ เพราะพ่ออาจจะจากไปก่อนเวลาอันควร พ่อก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าไดอารี่เล่มนี้จะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดแทนพ่อได้เป็นอย่างดี
เมื่อครั้งที่ลูกอยากทำธุรกิจส่วนตัว แต่พ่อไม่เห็นด้วยนั่นเป็นเหตุที่ทำให้เราพ่อลูกต้องทะเลาะกัน ด้วยเหตุผลก็คือ พ่อคิดว่ามันไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมด้านความรู้ ประสบการณ์ และความพร้อมทางอารมณ์ ของเดี่ยว เปรียบเหมือนคำกล่าวที่ว่า ผลไม้ต้องรอเวลาสุก
ความจริงแล้วพ่อก็อยากเห็นลูกมีธุรกิจส่วนตัวเช่นกัน ดังนั้นพ่อจึงได้ทำงานพิเศษเพื่อเก็บเงินไว้ให้ลูกเป็นทุนในการทำธุรกิจ ถึงแม้มันอาจจะไม่มากมาย แต่ก็พอที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจได้ และพ่อขอให้ลูกอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆไป เพราะสิ่งเล็กๆเหล่านี้จะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่เสมอ ตัวอย่างเช่น เงินลงทุน 1.0 ล้านบาท หากลงทุนแล้วให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี เรานำผลตอบแทนที่ได้มาลงทุนซ้ำอีกจะพบว่าอีก 10 ปีต่อมา เราจะมีเงินทั้งหมด 2.6 ล้านบาท ถ้าหากลงทุนเป็นระยะเวลา 20 ปี จะมีเงินทั้งหมด 6.7 ล้านบาท หรือหากลงทุนเป็นระยะเวลา 30 ปี ก็จะมีเงินถึง 17.4 ล้านบาท
พ่อจะแสดงวิธีคิดจากสูตรที่ลูกอาจจะเคยเรียนมาแล้วดังนี้
เงินในอนาคต = เงินลงทุน x (1+ผลตอบแทนจากการลงทุน)^ปี
หากเปลี่ยนผลตอบแทนจากการลงทุนเป็น 15% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกเพียง 5% จะเห็นว่า เงินที่ได้มีค่าแตกต่างกันอย่างมาก คือ เมื่อลงทุน 10 ปี จะทำให้เรามีเงินถึง 4 ล้านบาท หากลงทุน 20 ปี จะทำให้มีเงินถึง 16.4 ล้านบาท หรือหากลงทุน 30 ปี จะทำให้มีเงินถึง 66.2 ล้านบาท
เมื่อเราเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนอีก 5% เป็น 20% ต่อปี ในระยะเวลา 30 ปี เราจะมีเงินถึง 237.4 ล้านบาท จากตัวเลขที่แสดงมาทั้งหมดเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า สิ่งเล็กๆในวันนี้จะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต หรือพูดได้ว่าเงินจำนวนน้อยๆในวันนี้จะทำให้เราร่ำรวยอย่างเหลือเชื่อในอนาคต
พ่ออยากให้ลูกรู้ว่าก่อนที่เราจะเริ่มลงทุนทำธุรกิจ ลูกต้องแยกแยะให้ออกระหว่าง “วงจรแห่งความยากจน” และ “วงจรแห่งความร่ำรวย” พ่อเคยอยู่ทั้งสองวงจร โดยที่พ่อเริ่มจาก “วงจรแห่งความร่ำรวย” คือในช่วงที่พ่อทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างประสบความสำเร็จ ต่อมาพ่อก็เข้ามาอยู่ใน “วงจรแห่งความยากจน” ก็คือตอนที่พ่อขยายงานไปลงทุนในธุรกิจโรงแรม และโรงหนัง ซึ่งเป็นธุรกิจที่พ่อไม่มีความถนัด แต่ลงทุนไปเพราะความโลภขาดสติ คิดแต่เพียงว่าเป็นกระแสของตลาด อย่างไรก็ตามเรื่องราวทั้งหมดได้สอนสัจธรรมให้พ่อได้รู้ว่า สิ่งต่างๆในโลกนี้ เกิดขึ้น คงอยู่ และดับไป เป็นตามธรรมดาของมัน ไม่เคยมีสิ่งใดที่จะรุ่งเรืองได้ตลอดไป และไม่มีสิ่งใดที่เสื่อมทรามได้ตลอดไปเช่นเดียวกัน
พ่อจะเล่าให้เดี่ยวฟังว่า ทำไมพ่อถึงได้เข้าไปสู่วงจรแห่งความยากจนได้ เมื่อพ่อตัดสินใจจะลงทุนในธุรกิจโรงแรมและโรงหนัง แต่เวลานั้นพ่อไม่มีเงินทุนเลย ดังนั้นพ่อจึงต้องกู้เงินจากธนาคาร และกู้นอกระบบมาลงทุน ปรากฏว่าทรัพย์สินที่ลงทุนไป ก่อให้เกิดรายได้ไม่พอกับดอกเบี้ยจ่าย เมื่อไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ยพ่อก็จำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มอีกเพื่อนำมาจ่ายดอกเบี้ย ยิ่งกู้เพิ่มมากขึ้น ดอกเบี้ยจ่ายก็ยิ่งเพิ่มขี้นเป็นเงาตามตัว มิหนำซ้ำรายได้จากธุรกิจก็ไม่ดีเพราะพ่อไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจประเภทนี้มากนัก เมื่อเป็นเช่นนี้สุดท้ายก็ถึงทางตันคือ ธุรกิจขาดสภาพคล่องไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่างๆ จนทำให้ธุรกิจต้องเลิกไป เจ้าหนี้ก็ฟ้องร้องจนยึดทรัพย์สินไปขายทอดตลาด เมื่อไม่พอชำระหนี้ก็มาฟ้องร้องหนี้ส่วนที่เหลือจากพ่ออีก เป็นผลสืบเนื่องมาถึงธุรกิจรับเหมาของพ่อก็เริ่มมีปัญหา
สุดท้ายเรื่องราวต่างๆก็จบลง พ่อแทบจะหมดตัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้พ่อไม่เคยท้อแท้ หรือคิดสั้นกับชีวิตเลย ก็คือ พ่อมีครอบครัวที่อบอุ่น มีทั้งแม่ที่คอยเป็นกำลังใจให้อยู่ตลอดเวลา และมีลูกๆที่พ่อรักยิ่งกว่าสิ่งใด
พ่ออยู่ในวงจรแห่งความร่ำรวย เมื่อตอนที่พ่อเริ่มต้นทำธุรกิจซึ่งพ่อรู้จักและเข้าใจธุรกิจประเภทนี้เป็นอย่างดี จากเงินทุนก้อนเล็กๆของตัวเองและเงินทุนจากเพื่อนฝูงบางส่วน ลงทุนซื้อทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้ เมื่อนำรายได้มาหักกับค่าใช้จ่าย แล้วยังคงเหลือเป็นกำไร จึงนำกำไรบางส่วนไปจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้น กำไรส่วนที่เหลือก็นำไปซื้อทรัพย์สินเพิ่มเติม ทรัพย์สินยิ่งเพิ่มมากขึ้นก็จะก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น และจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นด้วย กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นก็กลับมาเป็นทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอีก หมุนเวียนกันไปเรื่อยๆอย่างไม่จบสิ้น
สิ่งที่พ่อได้เขียนบันทึกไว้นี้ พ่อหวังว่าลูกคงได้ประโยชน์จากมันไม่มากก็น้อย เพราะเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นประสบการณ์ของพ่อ พ่อจึงปรารถนาให้เดี่ยวเลือกทางเดินที่ถูกต้องและเหมาะสม และสุดท้ายนี้พ่อได้เตรียมมรดกทางความคิดไว้ให้เดี่ยว พ่อหวังว่ามันจะทำให้ทุกคนในครอบครัวของเรามีชีวิตที่สุขสบาย
มรดก นั้นคือ ลิขสิทธิ์ของหนังสือที่พ่อได้เขียนไว้ทั้งหมด ประกอบด้วย หนังสือการตลาด หนังสือบริหารจัดการ หนังสือการเงินการลงทุน หนังสือบัญชีและภาษี และหนังสือกฎหมาย ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่า 100 เล่ม เรียงอยู่ในชั้นหนังสือด้านหลังโต๊ะทำงานพ่อ
รักลูกๆ กับแม่บัวเสมอ
พ่อเดช
หมายเหตุ : เนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ คู่มือ ...หาเงินทำธุรกิจ หากท่านใดสนใจสั่งซื้อได้ที่ www.mebmarket.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น